posttoday

'วรภัค'รับหนี้เสียยังไม่นิ่ง กรุงไทยกันสำรองต่อ

02 พฤศจิกายน 2559

วรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย

โดย...พรสวรรค์ นันทะ

วรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ให้สัมภาษณ์ส่งท้ายก่อนส่งไม้ต่อให้ ผยง ศรีวณิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ที่จะขึ้นมานั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ วันที่ 8 พ.ย. 2559

โดย วรภัค ยอมรับว่า ธนาคารกรุงไทยยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพหนี้ ทำให้มีภาระในการกันสำรองหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อรวมปีนี้มีแนวโน้มจะหดตัว หรือติดลบ 3-5% จากเดิมที่เมื่อต้นปีตั้งเป้าว่าจะเติบโต 3-4%

“ในแง่คุณภาพสินเชื่อยังถือเป็นความท้าทายของธนาคารในปีนี้และในระยะต่อไป เพราะระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด (เอ็นพีแอล) ยังไม่ชัดเจนว่าจะเพิ่มขึ้นมามากแค่ไหน ทำให้ธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้สูงขึ้นมาต่อเนื่อง”

วรภัค ระบุว่า เดิมธนาคารจะตั้งสำรองหนี้เดือนละ 500 ล้านบาท แต่ต่อมาได้เพิ่มเป็นเดือนละ 1,000 ล้านบาท เพื่อจะให้อัตราการตั้งสำรองต่อเอ็นพีแอล (Coverage Ratio) ให้ได้ตามเป้าหมายที่ 130% ในอีก 3 ปี
ข้างหน้า (ปี 2560-2562) ใกล้เคียงกับระบบธนาคารพาณิชย์ และเป็นการบริหารความเสี่ยง โดยสิ้นเดือน ก.ย. อัตราตั้งสำรองของธนาคารอยู่ที่ 105.58% และปีนี้ได้ตั้งสำรองไปแล้วรวม 1.9 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารสามารถทำกำไรได้เป็นอันดับ 3 ในระบบธนาคารพาณิชย์ โดยมีกำไรก่อนการกันสำรองหนี้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และสิ้นปีนี้ ประมาณการไว้ว่ากำไรก่อนสำรองจะเพิ่มเป็น 6 หมื่นล้านบาท แต่กำไรสุทธิในสิ้นปีนี้อาจจะไม่สูง เพราะต้องกันสำรองหนี้มากขึ้น เนื่องจากยังไม่ชัดเจนว่าในสิ้นปีนี้เอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ส่งผลให้กำไรสุทธิหลังหักสำรองอาจลดลง อย่างไรก็ดี เอ็นพีแอลส่วนใหญ่เป็นของเดิมที่สะสมมาก่อนหน้านี้ ขณะที่เอ็นพีแอลใหม่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากมีการระมัดระวังคุณภาพหนี้มาต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางเอ็นพีแอลในไตรมาส 4 ปีนี้ น่าจะยังทรงตัวจากไตรมาส 3 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.2% ของสินเชื่อรวม อย่างไรก็ดี เอ็นพีแอลน่าจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงกลางปี 2560 จากคุณภาพหนี้ของสินเชื่อในกลุ่มเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อย ซึ่งเป็นปกติของเอ็นพีแอลที่จะเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจชะลอ ทำให้ในภาวะเช่นนี้ธนาคารยังต้องระมัดระวังการปล่อยกู้ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยในกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่มาก เพราะรายได้ค่าล่วงเวลา (โอที) ในกลุ่มนี้ลดลง

วรภัค ยอมรับว่า ผลจากภาวะเศรษฐกิจชะลอและความเข้มงวดในการปล่อยกู้ เนื่องจากต้องดูแลคุณภาพหนี้ ได้ส่งผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้พอสมควร โดย 9 เดือนแรกของปีนี้ สินเชื่อโดยรวมของธนาคารขยายตัวติดลบ 6% และคาดว่าในปีนี้ทั้งปีสินเชื่อจะดีขึ้นและกลับติดลบน้อยลงได้ที่ระดับ 3-5%

อย่างไรก็ดี 9 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อที่ลดลงเกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐที่ยังหดตัวจากโครงการลงทุนของภาครัฐยังออกมาไม่ชัดเจน ประกอบกับสินเชื่อผู้ประกอบการรายใหญ่ก็ชะลอต่อเนื่อง เพราะส่วนใหญ่ไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม และรายใหญ่ยังหันไประดมเงินผ่านการออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์แทนการขอสินเชื่อจากธนาคาร ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นจากความกังวลต่อเอ็นพีแอลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

“ในรายย่อยเรายังกังวลเรื่องเอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้น ทำให้เข้มงวดในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 30% เทียบกับตลาดหรือแบงก์อื่นๆ อยู่ที่ประมาณ 20-30%” วรภัค กล่าว

สำหรับปีหน้า ธนาคารกรุงไทยตั้งเป้าว่าสินเชื่อโดยรวมจะสามารถพลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ 3% โดยได้รับแรงหนุนจากสินเชื่อที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐ เนื่องจากคาดว่าโครงการลงทุนภาครัฐจะมีความชัดเจนและมีการลงทุนมากกว่าปีนี้ ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัวในอัตรา 3% โดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมาในวาระ 8 พ.ย. 2555-7 พ.ย. 2559 นี้ ได้มีการปรับระบบการทำงานหลายด้าน โดยเฉพาะระบบการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource) และระบบการติดตามข้อมูล (Data) เพื่อให้ธนาคารเป็นธนาคารที่แข็งแกร่งและมีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้ลูกค้าต่อไป

ด้าน ผยง ศรีวณิช ว่าที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า อยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจในปี 2560 เพื่อเสนอกระทรวงการคลัง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ โดยธนาคารจะให้บริการลูกค้าอย่างมีคุณภาพควบคู่ไปกับการดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และการดำเนินภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้นตามแผนเนชั่นแนลอี-เพย์เมนต์ต่อไป

ข่าวล่าสุด

คดีพลิก สหรัฐฯปลดล็อกขายชิปให้จีน แต่รัฐบาลจีนอาจไม่อยากซื้อ