posttoday

มูลนิธิปิดทองหลังพระ ยึดพระราชดำริ "น้ำคือชีวิต"

31 ตุลาคม 2559

"การให้ชาวบ้านมามีส่วนร่วม เป็นอีกหัวใจหนึ่งในแนวพระราชดำริที่พระราชทานไว้ คือ ระเบิดจากข้างใน"

โดย...อนัญญา มูลเพ็ญ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ทรงประมวลมาจากการทรงงานอย่างหนักและต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางสร้างรากฐานเพื่อการพัฒนาในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

“มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ” เริ่มดำเนินงานมาเป็นเวลา 6 ปีเต็ม ได้นำแนวพระราชดำริด้านการพัฒนาชนบท มาร่วมมือกับชุมชนตลอดจนภาคีภาคส่วนต่างๆ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้นแบบ 3,959 ครัวเรือนใน 5 จังหวัด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิฯ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับน้ำเป็นสิ่งแรก เพราะเมื่อมีน้ำเพียงพอ ประชาชนก็สามารถทำอะไรต่อยอดไปได้มากมาย แต่ถ้าขาดน้ำแล้วก็แทบจะทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเมื่อมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ดำเนินงานตามแนวของพระองค์ท่าน ก็ล้วนแต่เห็นผลเป็นประจักษ์

มูลนิธิฯ เริ่มสร้างต้นแบบการพัฒนาใน จ.น่าน ซึ่งมีปัญหาการทำลายป่าอย่างรุนแรงของประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและสภาพแวดล้อมที่เป็นเขาสูงชัน ไม่มีน้ำเพียงพอ โดยได้รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันพัฒนาแหล่งน้ำ ทั้งการปรับปรุงฝายที่มีอยู่เดิม สร้างฝายใหม่ วางระบบท่อส่งน้ำ

“การให้ชาวบ้านมามีส่วนร่วม เป็นอีกหัวใจหนึ่งในแนวพระราชดำริที่พระราชทานไว้ คือ ระเบิดจากข้างใน หมายความว่าชาวบ้านจะต้องมีความต้องการพัฒนาและเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของงาน” ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าว

เลขามูลนิธิฯ กล่าวว่า การพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ตามแนวระเบิดจากข้างใน นอกจากชุมชนจะเห็นด้วยแล้วยังต้องมาลงแรงงานอีกด้วย แต่ผลที่ตามมาคือความรู้สึกเป็นเจ้าของ หวงแหน จึงเกิดการรวมกลุ่มแบ่งหน้าที่กันดูแลแหล่งน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ยาวนาน

มูลนิธิปิดทองหลังพระ ยึดพระราชดำริ "น้ำคือชีวิต" ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล

แหล่งน้ำที่ปรับปรุงจากของเดิมและที่สร้างขึ้นใหม่ ทำให้เกิดพื้นที่เกษตรที่มีน้ำเพียงพอเพิ่มขึ้น 1.15 หมื่นไร่ เพิ่มโอกาสในการทำการเกษตรของชุมชนนอกเหนือไปจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างในอดีต เกษตรกรได้รับความรู้ในการทำเกษตรที่มีรายได้มากกว่าเดิม แต่ใช้พื้นที่ลดน้อยลงกว่าเดิม เช่น การปลูกพริก มะนาว เป็นต้น

ผลลัพธ์จากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริดังกล่าวทำให้ชาวบ้าน 1,723 ครัวเรือน ในพื้นที่ต้นแบบมีรายได้เพิ่มขึ้น 167 ล้านบาท และมีพื้นที่ส่งคืนเพื่อให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เข้าส่งเสริมการปลูกป่าทดแทนของเดิมประมาณ 9 หมื่นไร่

ภายหลังจากความก้าวหน้าในการนำแนวพระราชดำริไปพัฒนาใน จ.น่าน มูลนิธิชัยพัฒนาได้แนะนำให้ไปพัฒนาใน จ.อุดรธานี เนื่องจากอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งสร้างแล้วเสร็จมานานแต่ใช้ประโยชน์ได้น้อย

อ่างเก็บน้ำและฝายตามพระราชดำริจำนวนมากในทั่วทุกภาคของประเทศมีการใช้ประโยชน์น้อย เพราะเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ไม่มีการดำเนินงานต่อจากในพื้นที่ กลายเป็นที่เก็บน้ำและชาวบ้านได้แต่มองดูน้ำ เพราะฝ่ายต่างๆ อาจจะไม่ได้ทำงานให้เต็มความสามารถของตนอย่างที่ทรงเตือนอยู่เสมอ หลังจากที่ชาวบ้านรอบอ่างเก็บน้ำมาร่วมมือในการสร้างระบบส่งและบำรุงรักษาแหล่งน้ำ ทำให้เกิดโอกาสสร้างรายได้เพิ่ม และหลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินในเวลาต่อมา

การพัฒนาแหล่งน้ำจึงกลายเป็นแนวทางหลักที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ขยายการดำเนินการไปยัง จ.กาฬสินธุ์ จ.อุทัยธานี และ จ.เพชรบุรี ซึ่งล้วนทำให้เห็นประจักษ์ว่าน้ำคือชีวิต ตามพระราชดำริ ทำให้พื้นที่ต้นแบบในทั้ง 5 จังหวัดมีพื้นที่รับน้ำเพิ่มขึ้น 2 หมื่นไร่ และสร้างรายได้เพิ่มรวมกันประมาณ 180 ล้านบาท

ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวว่า จากบทพิสูจน์ของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ดังกล่าว ในช่วงต้นปี 2559 ซึ่งประเทศไทยประสบกับวิกฤตภัยแล้งอย่างรุนแรง มูลนิธิฯ จึงร่วมกับรัฐบาลเร่งขยายการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ต้นแบบ จ.น่าน และ จ.อุดรธานี ซึ่งปรากฏว่าชาวบ้านเกิด “ระเบิดจากข้างใน” อย่างแท้จริง จนทำให้การพัฒนาแหล่งน้ำ 808 โครงการ สามารถแล้วเสร็จภายในเวลาอันสั้น ทำให้มีพื้นที่รอดพ้นจากภัยแล้งเป็นจำนวนมากถึง 1.38 แสนไร่

บทเรียน 6 ปีของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ตลอดจนองค์กรและหน่วยงานพัฒนาต่างๆ ทำให้เห็นชัดเจนว่าแนวทางการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนนั้น ล้วนเป็นไปตามพระราชดำริที่พระราชทานไว้ว่า “เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ สองอย่างนี้จะทำให้ประเทศพัฒนาไปได้”

ทั้งนี้ กระบวนการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามแนวพระราชดำริ อาจสรุปได้โดยย่อเป็น 9 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1.ให้ความสำคัญกับพื้นที่และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ 2.มีกระบวนการร่วมคิด ร่วมทำจากประชาชนในพื้นที่ 3.ศึกษาข้อมูล ภูมิสังคม อย่างละเอียด 4.พัฒนาแผนงานระยะสั้นและระยะกลาง

5.พัฒนากลไกดำเนินงานให้มีเอกภาพและบูรณาการ 6.จัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนงาน 7.ผสมผสานความรู้ทางวิชาการกับภูมิปัญญาท้องถิ่น 8.ส่งเสริมให้การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 9.สร้างการรับรู้และเรียนรู้พร้อมกันทุกระดับตั้งแต่ชุมชนถึงรัฐบาลกลาง

ข่าวล่าสุด

BDI ชี้ SMEs ไทยต้องใช้ Big Data - AI เดินหน้า The UP ปั้นธุรกิจฐานข้อมูลสู่ Data Economy