ผลประโยชน์ของชาติ ทางทะเล...ต้องทำจริงจัง
โดย...ดร.ธบิต โสรัตน์
โดย...ดร.ธบิต โสรัตน์
ประเทศไทยเป็นรัฐชายฝั่งส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าพื้นที่อาณาเขตทางทะเลของไทยคิดเป็นร้อยละ 60 ของพื้นที่ซึ่งเป็นแผ่นดิน มีชายฝั่งทางด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามันยาวเกือบ 3,000 กิโลเมตร
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากทะเลมีการประเมินว่าแต่ละปีมีมูลค่ามากกว่า 22 ล้านล้านบาท หรือเท่ากับ 1.6 เท่าของจีดีพี เกี่ยวข้องกับการเป็นเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้า-ส่งออกกว่า 90% ใช้การขนส่งทางทะเล
นอกจากนี้ ทะเลเป็นแหล่งอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทางด้านประมงและอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำ แท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมิคอล รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ
พื้นที่อาณาเขตทะเลไทยมีการทับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคบางประเทศสามารถตกลงกันได้ บางประเทศเป็นการพักยกชั่วคราว ในด้านประมงพื้นที่อ่าวไทยจับปลาแบบไม่มีกติกาจนปลาเหลือน้อย ที่ผ่านมาไทยถูกเพ่งเล็งเรื่องประมงผิดกฎหมาย หรือ “IUU Fishing” เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และการประมงผิดกฎหมาย รวมถึงการจับสัตว์น้ำที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ปัญหาการแย่งชิงผลประโยชน์ในทะเลเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยราชการ ซึ่งต่างมีกฎหมายของตัวเอง รวมถึงการทับเส้นทับทางหากิน ปัญหาต่างๆ จึงทับถมแก้ไม่ได้เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์
ต้องให้เครดิตรัฐบาลเมื่อเร็วๆ นี้ สามารถผลักดันผ่านสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จนสามารถจัดทำและผ่านร่าง พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและชายฝั่ง หากผลักดันจนเป็นกฎหมายจะทำให้ช่วยแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์ทางทะเล “แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา” ถึงแม้นว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมดแต่คงดีกว่าที่ไม่มีกฎหมาย
ที่กล่าวเช่นนี้ ไม่ทราบว่าจะเป็นการตั้งความหวังมากเกินไปหรือไม่ เพราะผลประโยชน์ทางทะเลมีผลประโยชน์แบบผิดกฎหมายหรือสีเทามีมากมาย เป็นเส้นทางลักลอบของผิดกฎหมายทั้งยาเสพติด สินค้าหนีภาษี เป็นเส้นทางการก่อการร้าย ผลประโยชน์เหล่านี้มหาศาลไม่เข้าใครออกใครไม่แน่ใจว่าแค่มีกฎหมายออกมาแล้วจะแก้ปัญหาได้
อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.ที่ออกมากำหนดให้มีศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล หรือ “ศรชล” มีฐานะเป็นส่วนราชการแถมมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการศูนย์ มีอำนาจสั่งการเบ็ดเสร็จได้ทุกหน่วยงาน แต่ก็อย่าไปคาดหวังจนเกินไป เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานในลักษณะนี้ถึงแม้นจะมีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะก็ใช่ว่าจะขับเคลื่อนได้จริงจัง ขึ้นอยู่กับว่านายกรัฐมนตรีในแต่ละช่วงเวลาจะให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ ปัญหาการตักตวงผลประโยชน์จากทะเลไทยคงไม่ใช่มีกฎหมายแล้วปัญหาต่างๆ จะหมดไปเป็นผลประโยชน์มหาศาลที่ได้มาง่ายๆ ประเด็นคือจะทำอย่างไรให้คนไทยมีความหวงแหนเป็นเรื่องของการตระหนักรู้และการให้องค์ความรู้อย่างเป็นระบบ เช่น ให้ประชาชนมีส่วนร่วมพิจารณาการให้สัมปทานขุดเจาะก๊าซว่าประโยชน์คุ้มค่าไหม หรือการดูแลการประมงผิดกฎหมาย ไม่ใช่ไปทำเอาใจฝรั่ง แต่ต้องทำกันจริงจังเพื่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่ใช่ผลประโยชน์ไปตกแก่คนเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น...เหลือให้รุ่นลูกรุ่นหลานบ้างนะครับ


