ชงหัวหน้าคสช.ปิดตำนาน ‘ส.ค.1’ บินสวมที่ดินรัฐ-สปก.
โดย...สิทธิณี ห่วงนาค
โดย...สิทธิณี ห่วงนาค
เรียกได้ว่าปฏิบัติการทวงคืนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จากผู้ครอบครองที่ดินตั้งแต่ 500 ไร่ขึ้นไป เนื้อที่ 4.3 แสนไร่ จากจำนวนที่ดินทั้งหมด 4 ล้านไร่ ที่สำนักงาน ส.ป.ก.ได้รับมอบจากกรมป่าไม้และยังไม่มีออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า ผลจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 36/2559 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2559 เบื้องต้นมีที่ดินในเขต ส.ป.ก.ที่เรียกคืนได้แล้ว 1.51 แสนไร่
สำหรับที่ดินในเขต ส.ป.ก.ที่เหลืออีก 2.83 แสนไร่ มีผู้ร้องคัดค้านและแสดงเอกสารสิทธิที่ดินอื่นๆ อ้างความเป็นเจ้าของ เช่น ใบ ส.ค.1 หนังสือน.ส.2 น.ส.3 และใบภาษีบำรุงท้องที่(ภ.บ.ท.5) ในจำนวนนี้เป็นใบ ภ.บ.ท.5 ที่ออกโดยท้องถิ่น 1.8 แสนไร่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ดินที่จะเรียกคืนไม่ยากนัก
แต่กลับปรากฏว่าที่ดิน ส.ป.ก.นับแสนไร่ที่มีการออกใบ ส.ค.1 (ใบแจ้งการครอบครองที่ดินเป็นหลักฐานว่าผู้ครอบครองเป็นผู้แจ้งว่า ตนครอบครองที่ดินแปลงใดอยู่) หนังสือ น.ส.2 น.ส.3 ทับที่ดินในเขต ส.ป.ก.
ดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า ปัญหาการบุกที่ดินของรัฐทั้งที่ดินในเขตป่าสงวนและที่ดิน ส.ป.ก. โดยเฉพาะการนำใบ ส.ค.1 ที่ออกมาตั้งแต่ก่อนมี พ.ร.บ.ป่าไม้ 2497 ไปขอออกเอกสารสิทธิที่ดินทั้งที่เป็น น.ส.3 และโฉนด ยังคงมีเนื่องจนถึงปัจจุบัน
“ปัจจุบันใบ ส.ค.1 น่าจะหมดไปนานแล้ว เพราะภาครัฐเปิดให้มีการแจ้งจดก่อนที่จะมี พ.ร.บ.ป่าไม้ 2497 ซึ่งใบ ส.ค.1 จะเป็นเอกสารที่แจ้งการครอบครองที่ดิน แต่แบบการแจ้งจะไม่มีการจดแจ้งพิกัด ตำบล ตำแหน่งที่ดิน และชื่อผู้ครอบครองที่ชัดเจน เมื่อผู้ครอบครองนำใบส.ค.1 ไปขอเอกสารสิทธิที่ดินอื่นๆ เช่น น.ส.3 หรือโฉนด และเมื่อได้เอกสารสิทธิที่ดินแล้ว เจ้าหน้าที่จะขีดฆ่าทำลายต้นขั้วใบ ส.ค.1 ทิ้ง แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บางคนไม่ขีดฆ่าทำลายต้นขั้วทิ้ง เพราะรู้กันดีว่าใบ ส.ค.1 นำใช้ทำมาหากินได้ เพราะสามารถนำไปสวมทับที่ดินของรัฐแปลงใดก็ได้ โดยเฉพาะที่ดินของรัฐแปลงสวยๆ หรือที่เรียกกันในวงการว่า “ส.ค.1 บิน” และโดยส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลเหล่านี้ มักจะนำใบ ส.ค.ไปให้กับนายทุนหรือนักการเมือง เพื่อแลกรับผลประโยชน์หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน” ดำรงค์ อธิบาย
ดำรงค์ ระบุว่า นอกจากกรณีใบส.ค.1 บินไปสวมทับที่ดินของรัฐแล้ว ใบ ส.ค.1 ยังเป็นต้นเหตุการออกเอกสารสิทธิที่ดินเกินกว่าความเป็นจริง หรือ “ส.ค.1 บวม” ด้วย คือ เมื่อมีการนำ ส.ค.1 ไปแจ้งขอออกเอกสารสิทธิที่ดินทั้ง น.ส.3 และโฉนด จะพบว่ามีการแจ้งจำนวนที่ดินเกินความเป็นจริง เช่น ส.ค.1 ฉบับเดิมกำหนดพื้นที่ครอบครอง 6 ไร่ แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการของเจ้าหน้าที่ จะมีการแก้ไขพื้นที่เพิ่มขึ้นหลักโดยเพิ่มเลขหน้าหรือท้าย เช่น 16 ไร่ หรือ 60 ไร่ ตามแต่สภาพพื้นที่จะเอื้ออำนวยมากน้อยเพียงใด
“ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามแก้ไขปัญหา ส.ค.1 บิน โดยเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2551 รัฐบาลมีคำสั่งให้ยกเลิก ส.ค.1 โดยได้แก้ไข พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดในมาตรการ 8 ว่า ให้เอกสารใบ ส.ค.1 ที่เหลือทั้งหมดต้องออกโฉนดให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี คือ ภายใน 7 ก.พ. 2553 และหลังจากนั้นหากจะนำใบ ส.ค.1 ไปออกเป็นโฉนดจะทำได้โดยคำสั่งศาลเท่านั้น แต่มาตรา 8 ใหม่ที่ว่านี้กลับกลายเป็นช่องโหว่ คือ เมื่อศาลมีคำสั่งให้ออกโฉนดแล้ว ศาลจะแจ้งให้กรมที่ดินทราบเพื่อดำเนินการทันที ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของรัฐ เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ กรมธนารักษ์ และสำนักงาน ส.ป.ก. ไม่มีโอกาสทักท้วงว่าที่ดินที่ศาลให้ออกโฉนดนั้น ทับซ้อนกับที่ดินของรัฐอื่นๆ หรือไม่ และหลายกรณีพบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 หรือโฉนดในที่ดินเขตป่าสงวน ที่ดินสาธารณะ และที่ดิน ส.ป.ก. เป็นต้น”
อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบช่องโหว่ของมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว ในช่วงปี 2559 คณะกรรมการบูรณาการเร่งรัดการปฏิรูปทรัพยากรป่าไม้ของชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้เสนอให้รัฐบาลแก้จุดอ่อนตรงนี้ เพื่อรักษาผืนป่าของประเทศและที่ดินของรัฐ คณะกรรมการฯ มีมติเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ให้เสนอเรื่องถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปรับปรุงแก้ไขมาตรา 8 วรรค 4 แห่ง พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 คือ กรณีที่ศาลสั่งให้มีการนำใบ ส.ค.1 มาออกโฉนด ศาลจะต้องกรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ รวมถึงกรมธนารักษ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินทั้งหลายเข้าตรวจสอบระวางแผนที่และสำรวจความเป็นจริง พร้อมทั้งทำความเห็นเสนอศาลเพื่อประกอบการพิจารณา
“ปัจจุบันเราพบว่ามี ส.ค.1 ที่ยังเหลืออีกประมาณ 1.46 แสนแปลง คิดเป็นเนื้อที่ 2 ล้านไร่เศษ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงว่า จะมีการนำ ส.ค.1 ไปออกโฉนดทับที่ดินเขตป่าไม้ของชาติ และหากเป็นไปได้คณะกรรมการฯ ต้องการให้โละใบ ส.ค.1 ทิ้งทั้งหมด โดยผมหวังว่า รัฐบาลชุดนี้ที่มีทั้งอำนาจพิเศษ และความตั้งใจที่จะช่วยปกป้องผืนป่า จะเข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง”
ดำรงค์ ยังเสนอว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีที่ดินที่ถูกบุกรุกครอบครองโดยไม่มีเอกสารสิทธิหรือมีการเช่าอย่างไม่ถูกต้องอีก 8 ล้านไร่ รวมทั้งมีพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกทำการเกษตรอีก 6 ล้านไร่ ซึ่งหัวหน้า คสช.สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44 เข้ามาจัดการได้ จากนั้นจึงจะพิจารณาว่าที่ดินแต่ละแห่งจะดำเนินการอย่างไร เช่น กำหนดเป็นพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ที่จะจัดสรรให้ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ตลอดจนเข้าไปบริหารจัดการพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เข้าไปอาศัยให้มีประสิทธิภาพด้วย โดยปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนไว้กว่า 1 ล้านคน แบ่งเป็น กะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอประมาณ 7 แสนคน ม้ง 2 แสนคน มูเซอ 2 แสนคน อาข่า 9 หมื่นคน เย้า 4 หมื่นคน และลีซอประมาณ 3 หมื่นคน และมีกลุ่มอื่นๆ อีกประมาณ 8 หมื่นคน
“เรื่องนี้มีคนเชียร์เยอะ คนรอที่ดินทำกินก็มาก คนเหล่านี้จะเป็นกำแพงเหล็กให้รัฐบาล เพราะรัฐบาลกำลังทำเพื่อประชาชน เรากำลังจัดระบบที่ดินทั้งหมด แล้วนำมาคืนชาติ แม้ว่ารัฐบาลจะมีเวลาปีเดียว แต่หากตั้งใจทำและทำพร้อมกัน ไม่กี่เดือนก็จบ หากใครไม่มาแจ้ง รัฐบาลก็ควรเอากฎหมายฟอกเงินเข้าไปดำเนินการ” ดำรงค์ ทิ้งท้าย
ด้าน สรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการ ส.ป.ก. ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมากรมที่ดินแจ้งกับ ส.ป.ก.ว่า ปัจจุบันมีการนำใบ ส.ค.1 มาขอออกโฉนดและ น.ส.3 เกือบ 2 แสนฉบับ จึงขอให้ ส.ป.ก.ตรวจสอบว่ามีเป็น ส.ค.1 ที่ทับซ้อนกับที่ดินในเขต ส.ป.ก.หรือไม่ โดยเบื้องต้นประเมินว่ามี ส.ค.1 ที่บินมาทับเขต ส.ป.ก.ไม่ต่ำกว่า 1 แสนฉบับ ส่วนจะเป็นเนื้อที่เท่าไหร่ยังไม่มีใครตอบได้ เพราะจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด
“ตามปกติแล้ว หากจะดูว่า ส.ค.1 ที่นำมาขอออกโฉนดเป็นฉบับจริงหรือไม่ ต้องดูว่ามีต้นขั้วหรือไม่ มีกรณีใบ ส.ค.1 บวมหรือไม่ หมายถึงมีแจ้งพื้นที่เกินจริงหรือไม่ ซึ่งอันนี้ต้องการรังวัดขอบเขตที่ดิน แต่เนื่องจากในกรณีที่เป็นที่ดินไม่เกิน 40 ไร่ จะเป็นอำนาจของจังหวัดในการดูแล จึงอาจมีช่องโหว่ก็ได้” สรรเสริญ กล่าว


