‘พิศาล รัชกิจประการ’ เอ็มดี อาม่ามารีน
โดย...ยินดี ฤตวิรุฬห์
โดย...ยินดี ฤตวิรุฬห์
พิศาล รัชกิจประการ วัย 47 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาม่า มารีน ธุรกิจกองเรือบรรทุกของเหลว ธุรกิจของตระกูล “รัชกิจประการ” กำลังจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นกิจการไม่ธรรมดา ธุรกิจสร้างกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี รายได้เติบโตมากกว่า 20% นับตั้งแต่ปี 2556 โดยปี 2558 มีรายได้รวม 134 ล้านบาท บริษัทยังคงมีเป้าหมายรายได้โตในระดับนี้ต่อไป แม้ภาพรวมธุรกิจเดินเรือจะตกต่ำตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวก็ตาม
เขาคลุกคลีกับธุรกิจเดินเรือมาตั้งแต่จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มแรกไปทำงานกับบริษัท วีเอสพี มารีน 3 ปีก่อนที่จะออกมาทำงานกับบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เดิมชื่อบริษัท ปักษ์ใต้เชื้อเพลิง ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุง ราชบุรี ตั้งแต่ปี 2538-2539 ตรงกับที่เรียนมาคือวิศวกรรมอุตสาหกรรม เมื่อเผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2540 พี่ชายก็ดึงมาทำที่บริษัท อาม่า มารีน คลุกคลีกับคนเรือจนกระทั่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการและเป็นกรรมการผู้จัดการเมื่อปี 2557
พิศาล เล่าว่า เดิมบริษัท อาม่า มารีน เป็นกองเรือที่บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งบริษัท ปตท. บริษัท บางจากปิโตรเลียม ขณะนั้นธุรกิจเรือบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงจะผันผวนตามราคาน้ำมันมากและเทอมการชำระเงินก็นานมากประมาณ 45 วัน ทำให้ธุรกิจมีข้อจำกัดและผลการดำเนินงานเติบโตไม่ได้เต็มที่
ขณะนั้นบริษัทไม่ได้มีกองเรือมากและทุนรอนจำกัด เมื่อได้เข้ามาทำงานก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตและมั่นคงประกอบกับช่วงที่ทำงานที่บริษัท วีเอสพีฯ ได้ทำงานกับผู้ใหญ่ที่เก่งมาก ในธุรกิจเดินเรือก็ได้นำประสบการณ์มาหาลู่ทางในการทำธุรกิจ และเห็นว่าธุรกิจขนส่งน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีประเทศผู้ค้าและผู้ใช้มีความต้องการมากและน้ำมันปาล์มเป็นองค์ประกอบสำคัญในสินค้าอุปโภคบริโภค เศรษฐกิจยังไงก็จะไม่มีปัญหา
ดังนั้น บริษัท อาม่า มารีน จึงผันไปทำธุรกิจขนส่งน้ำมันปาล์มตั้งแต่ปี 2547 โดยมีบริษัทคู่ค้าในประเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีีย เวียดนาม และสำคัญเมียนมา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่บริษัทได้เข้าไปในรุ่นแรกตั้งแต่ที่ยังไม่เปิดประเทศและจนถึงทุกวันนี้ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทในเมียนมาก็ยังคงใช้บริการกันอยู่
“การที่บริษัทมีการบริหารจัดการ มีการขนส่งสินค้าให้ลูกค้าตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้ตามระยะเวลาที่กำหนด การสูญหายของสินค้าในระหว่างทางเป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจเดินเรือเพราะเราจะต้องสร้างความมั่นใจ ความเชื่อใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าให้ได้” พิศาล กล่าว
ผลจากความเชื่อมั่นเชื่อใจ ระหว่างบริษัทและลูกค้าโดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ของเมียนมานำไปสู่การขยายเส้นทางเดินเรือจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจีนและอินเดีย ซึ่งจะหนุนให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้นได้อีก
สำหรับการบริหารพนักงานและคนเรือใช้ระบบพี่น้อง ทำให้เกิดความเชื่อใจซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดของธุรกิจนี้ หากพนักงานของเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์ไว้วางใจโอกาสความเสียหายของสินค้าที่ขนส่งก็จะไม่เกิดขึ้น สินค้าส่งถึงมือลูกค้าแน่นอน ทุกวันนี้บริษัทมีพนักงาน 170 คน เรือ 7 ลำ น้ำหนักบรรทุกรวม 33,641 เมตริกตัน และจะซื้อเรือเพิ่มอีก 1 ลำ ที่มีขนาดบรรทุกได้ 1.3 หมื่นตัน เพื่อขนส่งไปจีนและอินเดีย
เป้าหมายในอนาคตจะเป็นบริษัทใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของผู้ขนส่งน้ำมันในประเทศไทย


