‘จักรกฤช จารุจินดา’ซีอีโอใหม่SIM ทำอะไรต้องตั้งใจทุ่มสุดตัว
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย/ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย/ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย (SIM) มีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอคนที่ 2 นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในปี 2546 คนแรกคือ “วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์” ที่นั่งเก้าอี้ตัวนี้มาจนกระทั่งช่วงปลายปี 2558 หลังจากนั้นได้แต่งตั้ง “จักรกฤช จารุจินดา” เข้ามาเป็นซีอีโอคนใหม่
จักรกฤช วัย 57 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง จบปริญญาโท 2 ใบ สาขารัฐประศาสนศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นในปี 2526 กลับมาทำงานแห่งแรกที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยในตอนนั้นและต่อเนื่องจนเป็นบริษัท ปตท. (PTT)
เขาเล่าให้ฟังว่าในชีวิตการทำงานสิ่งสำคัญคือ การได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานจริง รวมถึงวิธีของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา ผมเป็นคนที่โชคดีเพราะมีโอกาสได้โยกย้ายเปลี่ยนงานบ่อยมากถึงประมาณ 17 ครั้ง ในช่วงที่ทำงานกับ ปตท. ตลอดระยะเวลาประมาณ 30 ปี จึงได้เรียนรู้งานและมีโอกาสได้รับการสอนงานจากผู้บังคับบัญชาเก่งๆ จำนวนหลายคน
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานที่ ปตท.ปัจจุบันถือเป็นองค์กรระดับโลก คือวิธีคิดมุมมองต่างๆ ให้มีหลากหลายมิติในเรื่องระบบ การบริหารจัดการงาน คน คู่ค้าและลูกค้า ถือเป็นองค์กรของรัฐ ซึ่งมีระบบควบคุมการทำงานที่ดีและมีความแข็งแรงมาก สามารถนำมาผสมผสานปรับใช้ในการทำงานกับกลุ่มสามารถที่เป็นเอกชนได้ด้วย ขณะที่การทำงานให้ทันการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ และมีความรวดเร็วหรือช็อตคัตแต่ต้องมีระบบควบคุมหลังบ้านต้องมั่นใจว่าดี เพราะสถานการณ์ปัจจุบันใครที่ช้ากว่าจะเป็นผู้แพ้
เส้นทางการทำงานที่ ปตท.ของผมเติบโตตามมาโดยตลอด สายงานแรกที่ได้เริ่มทำคือฝ่ายบุคคลที่ภายในยังแบ่งเป็นอีกหลายหน่วยงานและยังได้โยกย้ายภายในฝ่ายบุคคลอีกหลายงาน อาทิ สรรหาบรรจุแต่งตั้งอัตรากำลัง งานด้านวินัย จากนั้นถูกย้ายแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนกจัดซื้อจัดจ้างรับผิดชอบในการจัดซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน งานต่อมาคือ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองจัดหาสินค้าการตลาด และก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบและบริหารสถานีบริการ อีกทั้งยังเคยทำงานเป็นหัวหน้าส่วนโฆษณาส่งเสริมการขาย รวมถึงขยับขึ้นมาดูแลด้านกลยุทธ์ตลาดค้าปลีกของกลุ่ม ปตท.ทั้งหมด อีกทั้งเปลี่ยนมาดูแลสายงานด้านพัฒนาธุรกิจเสริมใหม่ๆ ได้คิดริเริ่มธุรกิจใหม่หนึ่งในนั้นคือ ร้านกาแฟอเมซอนรวมถึงอีกหลายๆธุรกิจ จนกระทั่งขึ้นเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจน้ำมัน และตำแหน่งสูงสุดคือขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก
จักรกฤช เล่าว่า ในช่วงที่เป็นกรรมการผู้จัดการบริหารธุรกิจค้าปลีกกับกลุ่ม ปตท.ได้รับเชิญให้บรรยายเกี่ยวกับองค์ความรู้ด้านธุรกิจค้าปลีก มีโอกาสพบกับ “เจริญรัฐ วิไลลักษณ์” และ “วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์” จึงได้รับการทาบทามให้มาร่วมงานด้วย หลังจากคุยกันแล้วมีความรู้สึกอบอุ่นใจ ประกอบหลังจากมีโอกาสทำงานมาหลายๆ ด้านกับกลุ่ม ปตท.มาเป็นเวลานานจึงลองเปลี่ยนแปลงการทำงานหาความท้าทายที่มากขึ้น จึงตัดสินใจมาร่วมงานงานที่ SIM
เหตุผลส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจมาทำงานที่ SIM ต้องการทำงานกับองค์กรของคนไทย และเป็นธุรกิจที่ไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทที่ทำงานเดิม ในฐานะที่เป็นคนนอกที่จะเข้ามาร่วมงานด้วยยังเห็นโอกาสช่องทางในการขยายธุรกิจอีกจำนวนมากของ SIM ด้วย อีกทั้งเมื่อได้พูดคุยแชร์ความคิดร่วมกันแล้ว
ผู้บริหารและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ก็เปิดพร้อมรับฟังกับแนวคิดต่างๆ ในการทำธุรกิจของตนเอง
จักรกฤช กล่าวต่อว่า จุดแข็งที่ต้องการเสริมให้องค์กรคือด้านการวางโครงสร้างองค์กร การพัฒนาบริหารคน การสร้างองค์ความรู้ในองค์กร การสร้างวัฒนธรรมองค์กร พร้อมถ่ายทอดมุมมองวิธีการทำงานกับคนของกลุ่มสามารถว่าการทำงานต้องมองแบบภาพรวมทั้งซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นถึงปลายน้ำจะไม่แบ่งเป็นท่อนๆ หากเรื่องใดสามารถนำมาใช้เชื่อมโยงต้องทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ปรัชญาการทำงานส่วนตัวที่ยึดใช้ตั้งแต่เริ่มชีวิตการทำงานถึงปัจจุบันคือเป็นคนทำอะไรแล้วต้องตั้งใจทุ่มเททำสุดตัวให้ถึงที่สุด ผลออกมาแพ้หรือชนะจะไม่มีประเด็นสงสัย อีกข้อคือการมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิดกับงานที่ทำ หากอะไรที่ไม่ใช่ต้องไม่ดื้อที่จะทำต่อไป เพราะจะทำให้สูญเสีย ทั้งเงิน เวลา และกำลังใจคนทำงาน อีกทั้งต้องทำงานให้หนักกว่าพนักงานเป็นต้นแบบให้กับคนในองค์กรไม่เอาเปรียบคนทำงาน”


