posttoday

ทีวีดิ้นหนีตลาดล่างซบ หันเจาะพรีเมียมดันรายได้

09 มิถุนายน 2559

โดย...จะเรียม สำรวจ

โดย...จะเรียม สำรวจ

จากปัญหาเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการในตลาดเครื่องรับโทรทัศน์ ต้องออกมาปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เนื่องจากปัจจัยลบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปีนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและระดับล่าง ทำให้ทีวีที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลางและระดับล่างได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งจากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมตลาดทีวีตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้อยูในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะในด้านของจำนวนยูนิต

สำหรับภาพรวมตลาดในด้านของมูลค่าปีนี้ มีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 5% เนื่องจากทีวีในตลาดระดับบนหรือพรีเมียมในกลุ่มยูเอชดีทีวี และทีวี 4k มียอดขายเติบโตดีขึ้น บางรุ่นเติบโตสูงถึง 1 เท่าตัว เพราะผู้บริโภคในตลาดระดับบนยังมีกำลังซื้อที่ดี เมื่อมีสินค้านวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาดกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าว ก็ให้ความสนใจซื้อสินค้า

อลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเล็คทรอนิคส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแอลจี กล่าวว่า ภาพรวมตลาดทีวีตลาดกลางลงล่างตอนนี้ไม่ดี เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเศรษฐกิจโดยตรง ส่วนภาพรวมตลาดกลางขึ้นบนยังมีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อที่ดี ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดทีวีระดับกลางลงล่างไม่มีอัตราการเติบโต เพราะผู้บริโภคส่วนหนึ่งยังคงรอการทำโปรโมชั่น เมื่อยังไม่เห็นผู้ประกอบการออกมาทำโปรโมชั่นจึงยังไม่ตัดสินใจที่จะซื้อทีวีใหม่

อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดทีวีระดับพรีเมียมในช่วงครึ่งปีแรกจะเติบโตสูงถึง 50% เชื่อว่าครึ่งปีหลังก็น่าจะยังเติบโตอยู่ในระดับดังกล่าว เนื่องจากตลาดทีวีระดับกลางลงล่างเริ่มมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นตามภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3 เพราะช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 เข้ามาช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมตลาดทีวีระดับกลางลงล่างเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมตลาดทีวีในด้านของจำนวนยูนิตมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่ไม่มีอัตราการเติบโต

ปัจจุบันภาพรวมตลาดทีวีของไทยมีมูลค่ายอดขายอยู่ที่ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท และมียอดขายในด้านของจำนวนยูนิตอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านเครื่อง ในจำนวนดังกล่าวเป็นทีวีระดับพรีเมียมประมาณ 25% ซึ่งจากการที่ทีวีระดับพรีเมียมมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้สัดส่วนยอดขายทีวีพรีเมียมจะปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 30% อย่างแน่นอน

อลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ในด้านของแผนการดำเนินธุรกิจของแอลจีปีนี้ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะทีวีระดับพรีเมียม ซึ่งล่าสุดบริษัทได้มีการเปิดตัว LG OLED TV เข้าทำตลาด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มสินค้าทีวีระดับพรีเมียม เนื่องจากทีวีรุ่นดังกล่าวถือเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่ดีที่สุดของโลก ซึ่งในส่วนของปี 2559 นี้มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าเวอร์ชั่นใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติมในขนาด 55 นิ้ว 65 นิ้ว และ 77 นิ้ว  จากเดิมเวอร์ชั่นแรกมีสินค้าเข้าทดลองทำตลาดในขนาด 55 นิ้วเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่ม UHDTV, 4k และ LED เจาะตลาดกลางลงล่างเข้าทำตลาด เพื่อรับอานิสงส์เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในครึ่งปีหลังและการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 และโอลิมปิก โดยในส่วนของขนาดสินค้าจะมีให้เลือกตั้งแต่ 43-84 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 2.9 หมื่น-2 แสนบาท

อีกหนึ่งค่ายเกาหลีที่ออกมารุกตลาดทีวีระดับพรีเมียมอย่างจริงจังในปีนี้ คือ ซัมซุง เนื่องจากมองเห็นโอกาสในด้านของกำลังซื้อของผู้บริโภคระดับบนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เปิดขึ้น จึงออกมาเปิดตัวทีวีระดับพรีเมียมรุนใหม่เข้ามาทำตลาด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค

อัศวิน ชูสถาพรกุล ผู้จัดการอาวุโสธุรกิจภาพและเสียง บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า ภาพรวมยอดขายทีวีที่ตกลง เป็นเพราะผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะผู้บริโภคในตลาดระดับกลางลงล่าง แต่สำหรับผู้บริโภคในระดับบนยังคงมีกำลังซื้อที่ดีและยังมีความต้องการทีวีใหม่สูง ซึ่งในช่วงการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ บริษัทคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดทีวีมีอัตราการเติบโตมากกว่าปกติ และคาดว่าจะส่งผลให้ไตรมาส 2 มีสัดส่วนการขายทีวีมากกว่า 30% จากช่วงปกติจะมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 24-25%

จากการที่ตลาดทีวีพรีเมียมมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันตลาด UHDTV มีสัดส่วนอยู่ที่ 30% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีสัดส่วน 18% และจากการที่ปีนี้ความต้องการของตลาด UHDTV ที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องคาดว่าสิ้นปีจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40-50%

อัศวิน กล่าวอีกว่า จากผลการตอบรับที่ดีของตลาดทีวีพรีเมียม ส่งผลให้ยอดขาย UHDTV ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีอัตราการเติบโตสูงถึง 48% ในแง่มูลค่า  ขณะที่ตลาดทีวีจอโค้งก็มีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ที่ประมาณ 32% ซึ่งจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวคาดว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้ตลาด UHDTV จะเข้ามาแทนที่ตลาด Full HD TV หรือทีวีทั่วไปอย่างแน่นอน และจากการขยายตัวที่ดีของตลาดทีวีพรีเมียม ส่งผลให้ภาพรวมตลาดทีวีในด้านของเม็ดเงินจะมีการขยายตัวดีกว่าในด้านของจำนวนยูนิต

ปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินมีการขยายตัวดีกว่าจำนวนยูนิตเหตุผลหลัก คือ ราคา UHDTV สูงกว่า Full HD TV ประมาณ 20% ขณะเดียวกันทีวีจอโค้งก็มีราคาสูงกว่าทีวีจอแบนประมาณ 15-20% ซึ่งในส่วนของตลาดขนาดทีวีที่มียอดขายดีที่สุดยังคงเป็นขนาด 40 นิ้ว ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่กว่า 30% ส่วนขนาดที่มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีต่อเนื่อง คือ ขนาด 49 นิ้ว ปัจจุบันมีสัดส่วนเกือบ 20% และ 55 นิ้ว ปัจจุบันมีสัดส่วนกว่า 20% จากตลาดทีวีรวม

อัศวิน กล่าวว่า จากการขยายตัวทีวีของตลาดทีวีพรีเมียม ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัว Samsung SUHD TV ไม่รวม 37 รุ่นเข้าทำตลาด ในจำนวนดังกล่าวเป็นทีวีจอโค้ง 15 รุ่น และมีรุ่นที่เป็นไฮไลต์ 3 ขนาด คือ KS 9000 Series มีขนาด 55 นิ้ว 65 นิ้ว และ 78 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 69,990-299,990 บาท ซึ่งหลังจากบริษัทมีการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมียอดขายเติบโตสูงกว่าภาพรวมตลาดอย่างแน่นอน

แม้ว่าตลาดรวมทีวีจะได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 และแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ทำให้ภาพรวมตลาดทีวีเริ่มขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ไตรมาส 2 แต่หากนำมูลค่าตลาดทั้งในด้านของเม็ดเงินและจำนวนยูนิตมากเปรียบเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยังถือว่าภาพรวมตลาดทีวีในปีนี้ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ออกมาเปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทีวีในประเทศไทยยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรง เห็นได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีจอภาพที่มีความคมชัด คุณภาพสีสมจริงมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีการใช้งานง่ายต่อการเข้าถึงคอนเทนต์ออนไลน์ และการเชื่อมโยงกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ แม้ว่าในปัจจุบันคอนเทนต์ที่มีภาพความละเอียดสูงยังมีไม่มากภายในประเทศ แต่ฟังก์ชั่นเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และการแพร่หลายของอุปกรณ์กล่องรับชมทีวีอัจฉริยะทําให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่มีความละเอียดสูงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนต่อการรับชมทีวีออนไลน์บนเครื่องรับทีวีในระยะยาว

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคาดการณ์สถานการณ์ตลาดทีวีในปี 2559 ว่าจะมีการขยายตัวในด้านของจำนวนยูนิตอยู่ที่ประมาณ 2.98-3.01 ล้านเครื่อง เติบโตประมาณ 1.6-2.9% เมื่อเทียบกับปี 2558 ส่วนด้านยอดขายที่คิดเป็นเม็ดเงินคาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ  32,725-33,165 ล้านบาท เติบโตประมาณ  0.6-2%  เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 3.25 หมื่นล้านบาท การคาดการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้ประกอบการทีวี

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี