‘Sell in May and go away’ มีโอกาสเกิดปีนี้
ประโยคนี้ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อก้าวเข้าสู่เดือน พ.ค. โดยสื่อนัยว่าจงขายหุ้นในเดือน พ.ค. แล้วอยู่ห่างๆ ตลาดหุ้นสักพัก
ประโยคนี้ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อก้าวเข้าสู่เดือน พ.ค. โดยสื่อนัยว่าจงขายหุ้นในเดือน พ.ค. แล้วอยู่ห่างๆ ตลาดหุ้นสักพัก
มีการศึกษาทางวิชาการพบว่า การลงทุนในตลาดหุ้นหลายแห่งในช่วงเดือน พ.ค.-พ.ย. จะให้ผลตอบแทนด้อยกว่าการลงทุนในช่วงเดือน ธ.ค.-เม.ย. อย่างมีนัยสำคัญ
บ้างก็อธิบายว่า เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงซัมเมอร์ของตลาดนั้นๆ นักลงทุนจะขายทำกำไรก่อนจะหยุดเที่ยวยาว อย่างไรก็ดีในหลายประเทศซัมเมอร์ไม่ได้เริ่มในเดือน พ.ค. แต่ยังคงมีปรากฏการณ์ Sell in May คำอธิบายนี้ จึงไม่อาจใช้ได้กับทุกๆ ตลาด
ในทางกลับกันหลายๆ ตลาดหุ้นไม่มีปรากฏการณ์ Sell in May
กรณีตลาดหุ้นไทย หากพิจารณาสถิติ 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า SET มีโอกาสพักฐานสูงถึง 60% ในเดือน พ.ค. และ พ.ค. ยังเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ -0.9% (ตัดปีที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดและต่ำสุดออกจากการคำนวณค่าเฉลี่ย)
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ของธนชาต ประเมินว่า ปีนี้มีโอกาสเกิดปรากฏการณ์ Sell in May ในบ้านเรา เนื่องจากประการแรก SET ปรับสูงขึ้นเกือบ 10% ตั้งแต่ต้นปีและเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเด่นสุดในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์)
ประการที่ 2 สถิติย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา มีถึง 9 ใน 10 ปีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าในเดือน พ.ค. ปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก เมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ จึงมีโอกาสไม่น้อยที่จะกลับมาอ่อนค่า หากจริงจะยืนยันสัญญาณเงินทุนไหลออก ซึ่งจะกดดันตลาดหุ้นอีกทางหนึ่ง
ประการที่ 3 การประมูลคลื่น 4จี ในปลายเดือน พ.ค.นี้ จะเป็นปัจจัยกดดันหุ้นสื่อสารขนาดใหญ่อย่าง ADVANC และ INTUCH
นอกจากนั้น ผมยังมองว่า หลังรายงานงบไตรมาสแรกจบลงในกลางเดือน พ.ค. จะตามมาด้วยการปรับลดมากกว่าปรับขึ้น ประมาณการกำไรของ บจ.และราคาหุ้นเป้าหมาย เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทั้งไทย-เทศที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้
แม้จะมีมุมมองว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ Sell in May แต่สถิติในอดีตชี้ว่า หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล โรงแรม ค้าปลีก รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสสูงถึง 70-80% ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกในเดือน พ.ค.
การปรับฐานของตลาดหุ้นหากดังราคาหุ้นเหล่านี้ลงมาจึงเป็นโอกาสซื้อ โดยเฉพาะ BH BDMS MINT CENTEL CPALL ROBINS CPNRF
ขณะที่หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง พลังงานและอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสถึง 70-80% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบในเดือน พ.ค. การลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล่านี้ จึงอาจดึงจังหวะซื้อช่วงย่อตัวเท่านั้น
แม้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสพักฐานในเดือน พ.ค. แต่มองความเสี่ยงด้านล่างจำกัดอยู่ที่ 1,360 จุด และยังมองเป้าหมายปลายปีที่ 1,550 จุด เนื่องจากประการแรกบอนด์ยิลด์ยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไป ส่งผลให้กระแสเงินทุนพร้อมวกกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อราคาถูกลง ประการที่ 2 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ประการที่ 3 คาดว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการทำประชามติในเดือน ส.ค. ซึ่งจะเปิดทางไปสู่การเลือกตั้งในปีหน้า
สรุปว่า ปีนี้มีโอกาสเกิดปรากฏการณ์ Sell in May แต่มองว่าความเสี่ยงด้านล่างจำกัดอยู่ที่ 1,360 จุด และหากเกิดจริงมองเป็นโอกาสลงทุน


