บัวหลวงบุกหุ้นอาเซียน
บลจ.บัวหลวง พร้อมลงทุนหุ้นภูมิภาคอาเซียน มั่นใจให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นไทย
บลจ.บัวหลวง พร้อมลงทุนหุ้นภูมิภาคอาเซียน มั่นใจให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นไทย
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา Managing Director และ Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง เปิดเผยว่า หุ้นในภูมิภาคอาเซียนมีความน่าสนใจและจะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะหลังจากการรวมเป็นกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี มีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน และอายุเฉลี่ยเพียง 29 ปี ขณะที่ชนขั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"นอกจากนี้ยังเป็นภูมิภาคที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าต่อเนื่องกว่า 1.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามแต่ละประเทศยังมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ดังนั้นการลงทุนจึงต้องเลือกหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในแต่ละประเทศ" นายพีรพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ บลจ.บัวหลวง จึงจัดตั้งกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอาเซียน (B-ASEAN) ที่มีนโยบายลงทุนหุ้น 10 ประเทศในอาเซียน โดยเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกระหว่างวันที่ 23-29 มี.ค. 2559
นายพีรพงศ์ กล่าวว่า กองทุน B-ASEAN จะลงทุนหุ้นไม่เกิน 30 บริษัท ซึ่งจากการทำพอร์ตจำลอง คาดว่าในช่วงแรกจะลงทุนหุ้นไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ประเทศละประมาณ 25% อีก 15% ลงทุนในสิงคโปร์ และ 10% ที่เหลือลงทุนในมาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งคาดว่าในระยะยาวจะสามารถให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 10-15% ซึ่งสูงกว่าหุ้นไทยที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนประมาณ 8-10% ต่อปี
"หุ้นจุดเด่นของกองทุนคือ เราลงไปศึกษาตัวบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนจริงๆ มา 3 ปีแล้ว และที่ผ่านมายังเข้าไปลงทุนบ้างแล้ว ได้แก่ กองทุนบัวหลวงปัจจัย 4 เพื่อการเลี้ยงชีพ (BBASICRMF) ลงทุนหุ้นอาเซียนประมาณ 25%" นายพีรพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ กองทุน B-ASEAN ยังเปิดโอกาสที่จะลงทุนในบริษัทต่างชาติที่เข้าดำเนินธุรกิจหรือมีรายได้จากภูมิภาคได้อีกด้วย เช่น ลงทุนบริษัทในสิงคโปร์ที่มีรายได้จากธุรกิจในเวียดนามและเมียนมา ทำให้กองทุนได้ประโยชน์โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปลงทุนโดยตรง และตลาดหุ้นสิงคโปร์ยังมีเสถียรภาพมากกว่า
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล Managing Director บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นอาเซียนไม่ได้มีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดหุ้นไทย และยังเป็นการกระจายการลงทุน โดยแนะนำว่านักลงทุนสามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 5-20% ของพอร์ตลงทุนรวม ขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละคน


