เศรษฐกิจไทยติดจรวด
สําหรับภาวะเศรษฐกิจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีข่าวดีเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อเนื่อง เริ่มจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน มิ.ย. ว่ากลับมาเร่งตัวดีขึ้นค่อนข้างชัดเจนหลังเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองคลี่คลายลง และมีสัญญาณยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องทั้งปี เพราะดูจากตัวเลขธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวติดลบเหลือเพียง 0.2% จากเดือนก่อนติดลบถึง 11.8%
ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ถึง 2.7% จากเดิมติดลบ 0.2% และที่มีขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์คือ หมวดยานยนต์ประเภทรถยนต์นั่งที่ 86.2% จาก 68.1% ขณะเดียวกันการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภคก็ขยายตัวสูงที่ 37.4%
สำหรับภาคการลงทุนที่เคยชะลอจากเหตุการณ์การเมืองก็เริ่มขยายตัว 0.8% กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 68.6% อีกทั้งภาคการส่งออกก็ยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยมีมูลค่าถึง 1.78 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากเดือนก่อนอยู่ที่ 1.64 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่านำเข้า 1.53 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเดือนก่อนที่ 1.41 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ด้านการลงทุนยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) เพิ่มขึ้น 21.2% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนตามแผนที่วางไว้ในช่วงก่อนหน้า และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบการตัดสินใจลงทุนระยะสั้นของนักลงทุน แม้จะมีการปรับเพิ่มขึ้นมาก แต่ยังอยู่ระดับต่ำ
นอกจากนี้ การลงทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เชื่อมโยงการส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ยังมีความต้องการจากต่างประเทศต่อเนื่อง สอดคล้องกับการส่งออกเดือน มิ.ย. ที่ขยายตัว 41.7% หรือมีมูลค่า 17,878 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นประวัติการณ์
ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประกาศว่า เศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวได้ถึง 8% เทียบกับไตรมาสแรกที่ 12% เป็นผลมาจากการส่งออกที่ขยายตัวสูง และปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศแล้วถึงปี 2554 ทั้งนี้ สศค. ยังได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2553 ว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 56%
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 3.3% ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนที่ 3.5% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานก็ลดลงเหลือ 1.1% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าตอนนี้ไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ส่วนหนี้สาธารณะถือว่าอยู่ในระดับที่มั่นคงที่ 42.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งถือว่าไม่สูง เพราะหนี้ที่รัฐบาลกู้จริงอยู่ที่ 28.39% หนี้รัฐวิสาหกิจ 11.34% หนี้ธนาคารของรัฐ 1.9% และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินอยู่ที่ 1.2%
ท่ามกลางการทยอยประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่มีข่าวดีออกมาเป็นระลอก นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ได้ส่งสัญญาณให้ระวังเงินร้อนจะเข้ามาเก็งกำไรตลาดหุ้น พันธบัตรและค่าเงินมากขึ้น เพราะขณะนี้พบว่ามีปริมาณเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 23 สัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นต่างชาติกลับมาลงทุนในไทยชัดเจน และยังมีแนวโน้มจะมีต่อไปในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะคลายความกังวลปัญหาการเมืองและเห็นสัญญาณเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน
ทั้งนี้ มีข้อมูลว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีเงินทุนไหลเข้าเอเชียทั้งสิ้น 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.48 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีในเชิงการแข่งขันของภาคเอกชนไทยที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อย่างบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) ได้ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในตำแหน่งผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดในโลก หลังทุ่มเงินซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท เอ็มดับเบิ้ลยู แบรนด์ โฮลดิ้งส์ (MWB) ซึ่งเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าและอาหารทะเลในตลาดยุโรปมูลค่าประมาณ 2.85 หมื่นล้านบาท หรือ 680 ล้านยูโร จากกองทุน Trilantic Capital Partner
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการ บริหาร TUF กล่าวว่า หากบริษัททำการซื้อกิจการสำเร็จจะทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของรายได้
ทั้งนี้ บริษัทจะชำระค่าซื้อกิจการเป็นเงินสด โดยกู้จากสถาบันการเงินต่างประเทศจำนวน 340 ล้านยูโร และกู้เงินระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย จำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงการขายหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวนไม่เกิน 60 ล้านยูโร
ด้านตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดปรับขึ้นทั้งสัปดาห์ และมาปิดที่ 855.83 จุด เพิ่มขึ้น 1.86% จาก 840.24 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 28.90% จาก 1.79 แสนล้านบาท มาอยู่ที่ 1.27 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อ 4,839.63 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิที่ 919.29 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยขาย 4,794.46 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 964.45 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้อสุทธิเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน
สัปดาห์นี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมา ซึ่งมีทิศทางที่ดีโดยเฉพาะ 2 บริษัทขนาดใหญ่ อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ก็ทำผลงานได้ดีเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์


