posttoday

ตามหา ดวงตะวันและดาวบริวาร กับ ภารกิจยกระดับ พอร์ตลงทุน

27 กุมภาพันธ์ 2559

ใครคือดวงตะวันของเธอ เธอคือทานตะวันของใคร บอกให้รู้ได้ไหมว่าใครที่เธอรัก...ละครจบ การลงทุนไม่จบ

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]

ใครคือดวงตะวันของเธอ เธอคือทานตะวันของใคร บอกให้รู้ได้ไหมว่าใครที่เธอรัก...

ละครจบ การลงทุนไม่จบ แต่ไม่ได้จะมาชวนไปตามหา “ดวงตะวัน” ที่ไหน เพราะสำหรับการลงทุน ถ้ามีแค่ดวงตะวันเพียงอย่างเดียวอาจจะเล็กเกินไป เพราะฉะนั้นจึงมาชวนไปสร้าง “ระบบสุริยจักรวาล” ของตัวเอง เพื่อทำให้พอร์ตลงทุนของเราครบถ้วนสมบูรณ์ ด้วยวิธีการจัดพอร์ตที่เรียกว่า Core-satellite portfolio

วิธีการจัดพอร์ตแบบนี้น่าจะเหมาะมากๆ กับนักลงทุนที่ตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเลือกแนวทางการลงทุนระยะยาว หรือเก็งกำไรระยะสั้น รวมทั้งน่าจะทำให้การลงทุนในยุค New normal เป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

ทำไมต้อง Core และ Satellite

เวลาไปฟังคำแนะนำลงทุนของผู้จัดการกองทุน หรือที่ปรึกษาทางการเงิน เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า Core-satellite portfolio หรือคำแนะนำที่ให้ใช้กองทุนใดกองทุนหนึ่งเป็น Core portfolio

แม้ว่าพอจะเดาได้ว่า น่าจะหมายถึงการลงทุนหลัก แต่ก็ยังงงๆ ว่า จริงๆ แล้ว มันหมายความว่าอย่างไร ดีกว่าการจัดพอร์ตแบบทั่วๆ ไปอย่างไร และถ้าต้องการจัดพอร์ตแบบ Core-satellite ต้องทำอย่างไร

การจัดพอร์ตแบบ Core-satellite portfolio คือ การแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นเงินลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นเงินลงทุนหลักของเรา และส่วนที่สองคือเงินลงทุนระยะสั้น อาจจะ 3-6 เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี

ถ้านึกภาพง่ายๆ ก็ต้องให้นึกถึง “ระบบสุริยจักรวาล” ที่มีดวงตะวันเป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์บริวารโคจรอยู่รอบๆ ดวงตะวัน 

โดยที่ Core portfolio เป็นเหมือน “ดวงตะวัน” ของเรา เพราะเป็นแหล่งพลังงานหลัก สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ขณะที่ Satellite portfolio เป็นเหมือน “ดาวบริวาร” ที่โคจรรอบๆ ดวงตะวัน คอยให้กำลังใจและเพิ่มผลตอบแทน

ดังนั้น วิธีการจัดพอร์ตแบบนี้จึงเป็นการรวมกันของการลงทุนระยะยาว กับ การเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งแน่นอนว่าจะได้เปรียบกว่าการลงทุนด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง

เพราะแม้ว่า ที่ผ่านมาการลงทุนแบบซื้อและถือยาว (Buy and Hold) จะได้รับการยอมรับว่า เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดระยะยาว โดยเฉพาะแนวทางการลงทุนที่เรียกว่า Value investing แถมยังมีนักลงทุนมหาเศรษฐีหลายคนที่เป็น “หลักฐาน” ที่จับต้องได้

ตามหา ดวงตะวันและดาวบริวาร กับ ภารกิจยกระดับ พอร์ตลงทุน

 

แต่ก็มีอีกแนวคิดหนึ่งที่บอกว่า ในยุคนี้ที่เป็น New normal นั้น การซื้อและถือไว้ในระยะยาวอาจจะได้ผลตอบแทนไม่มากเท่ากับอดีตอีกแล้ว เพราะในตลาดเงินและตลาดทุนมีความผันผวนรุนแรงมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะนักลงทุนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันการเคลื่อนย้ายเงินทุนก็รวดเร็วขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้น การลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น ที่มีการซื้อๆ ขายๆ ทำกำไร ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม น่าจะเป็นวิธีการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าซื้อและถือยาว (ถ้ามีฝีมือดีพอ)

แต่ถ้าได้ทำความรู้จักทั้งการลงทุนระยะสั้นและระยะยาวแล้ว จะบอกได้ว่า ไม่มีกลยุทธ์การลงทุนใดที่ดีที่สุดไปตลอด เพราะวิธีการหนึ่งอาจจะได้เปรียบอีกวิธีหนึ่งในบางช่วงเวลา เช่น

ในช่วงที่ตลาดหุ้นเริ่มเป็นขาขึ้น เริ่มเข้าสู่ภาวะ “กระทิง” การลงทุนแบบ Buy and Hold จะเป็นวิธีการลงทุนที่ดีกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น

เมื่อตลาดปรับทิศกลายเป็นขาลง หรือซึมๆ เหงาๆ ตามสไตล์ของภาวะตลาด “หมี” การลงทุนแบบ Buy and Hold จะกลายเป็นการลงทุนที่ย่ำแย่ แต่การเก็งกำไรระยะสั้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ทั้ง Buy and Hold และการเก็งกำไรระยะสั้นจะดีไปพร้อมๆ กันก็ต้องรอให้อยู่ในภาวะกระทิงแบบเต็มตัวเสียก่อน

เพราะฉะนั้น พอร์ตแบบ Core-satellite จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะเราลงทุนทั้งระยะยาว และไม่เสียโอกาสในการเก็งกำไรระยะสั้น

นอกจากนี้ พอร์ตแบบ Core-satellite ยังสามารถผสมผสานระหว่างการลงทุนแบบ Passive และ Active ไว้ด้วยกันได้

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของพอร์ตแบบ Core-satellite คือ มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมีการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ ไม่ใช่การลงทุนแบบสะเปะสะปะไปเรื่อย ไม่ใช่ใครบอกว่าอะไรดี ที่ไหนน่าลงทุน ก็เฮโลทุ่มเงินลงไป

วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล บอกว่า การจัดพอร์ตแบบ Core-satellite เป็นอีกสเต็ปหนึ่งในการลงทุน เพราะก่อนจะมาถึงขั้นนี้ได้ ต้องเริ่มจากจัดพอร์ตแบบธรรมดาที่มีแต่ Core portfolio ก่อน

ใครคือ Core และSatellite ของเธอ

เราแต่ละคนจะมี “ระบบสุริยจักรวาล” ของตัวเราเอง ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับ “ปัจจัยส่วนตัว” ของเรา ไม่ว่าจะเป็นอายุ การยอมรับความเสี่ยง ความรู้ความเข้าใจ และความชอบ ขณะที่ Satellite portfolio จะขึ้นอยู่กับมุมมองต่อการลงทุนระยะสั้น

ตามหา ดวงตะวันและดาวบริวาร กับ ภารกิจยกระดับ พอร์ตลงทุน

 

Vanguard บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำของโลก แบ่งรูปแบบโครงสร้างของ Core-satellite portfolio ไว้ 2 รูปแบบ คือ

รูปแบบ 1 แบ่งตามประเภทสินทรัพย์และตลาดทุน เช่น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ ในประเทศ หรือต่างประเทศ ซึ่ง Vanguard บอกว่า เป็นรูปแบบดั้งเดิม โดยที่ Core portfolio อาจจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในประเทศ ขณะที่ Satellite portfolio อาจจะเป็นหุ้นขนาดเล็กในประเทศ หุ้นต่างประเทศ หรือสินค้าโภคภัณฑ์

รูปแบบ 2 อิงจากวิธีการบริหารจัดการกองทุน รวมถึงฝีมือของผู้จัดการกองทุน ซึ่ง Vanguard บอกว่า รูปแบบนี้ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นำมาใช้ในการลงทุนแบบ Core-satellite portfolio ได้

โดยเราอาจจะเลือก กองทุนดัชนี หรือกองทุนที่ให้ผลตอบแทนตามตลาด (ซึ่งเรียกว่า Beta) มาเป็น Core portfolio และเลือกกองทุนที่ฝีมือดีมีผลตอบแทนชนะตลาด (Alpha) มาเป็น Satellite portfolio

แต่ไม่ว่า จะเลือกรูปแบบไหน วิน บอกว่า Core portfolio ต้องกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย โดยอาจจะลงทุนหุ้นทั่วโลกได้ แต่ถ้าเป็น Satellite portfolio สามารถเลือกลงทุนหุ้นเฉพาะประเทศ หรือเฉพาะอุตสาหกรรมได้

เจษฎา สุขทิศ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) อินฟินิติ แนะนำ มือใหม่เริ่มลงทุนว่า สามารถเลือกลงทุนสินทรัพย์ในประเทศเป็น Core portfolio ได้

แต่ใน Core portfolio ควรจะมีทั้งหุ้นไทย ตราสารหนี้ไทย และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในประเทศ เพื่อกระจายแหล่งรายได้ให้มาจากทั้งกำไร ดอกเบี้ย เงินปันผล และค่าเช่า

“เวลาจัดพอร์ตลงทุนเราก็มักจะมี Home bias คือ ชอบลงทุนในประเทศตัวเอง เช่น เราเป็นคนไทยก็จะลงทุนสินทรัพย์ในประเทศในสัดส่วนที่สูง แต่จะสูงขนาดไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมี Home bias มากแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด” เจษฎา กล่าว

อย่างไรก็ตาม เจษฎา แนะนำว่า นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลก (Global Asset Allocation) มาเป็น Core portfolio หลังจากนั้นปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนเป็นคอยประเมินทิศทางตลาดและปรับสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมให้

แต่ก่อนจะไปถึงขั้นการเลือกว่า อะไรจะเป็น Core หรือใครจะเป็น Satellite เจษฎา เคยแนะนำ “7 ขั้นตอนการจัดพอร์ตแบบ Enhanced Core-Satellite Portfolio” ไว้ใน fundmanagertalk.com ว่า

ขั้นตอนแรกที่เราต้องทำ คือ กำหนดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงสำหรับการลงทุนในระยะยาว หรือการลงทุนของ Core portfolio ว่า จะยอมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุนที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละคน

“สำหรับพอร์ตที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง และมีระยะเวลาการลงทุนนานๆ เช่น มากกว่า 10 ปี แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 60% ขึ้นไป และอีก 40% ลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ” เจษฎา กล่าว

หลังจากนั้น จึงมาจัดแบ่งเงินลงทุนทั้งหมดว่า จะลงทุนใน Core Portfolio ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวเท่าไร และ Satellite Portfolio ที่เป็นการลงทุนระยะสั้นประมาณ 1 ปีอีกเท่าไร ซึ่งจะแบ่งเงินส่วนไหนเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับความถนัดและความต้องการของแต่ละคน แต่ในเบื้องต้น เจษฎา บอกว่า อาจจะเริ่มจาก Core Portfolio สัก 70% และเหลืออีก 30% ไปใส่ไว้ที่ Satellite portfolio

เมื่อได้สัดส่วนที่พอใจแล้ว ถึงจะไปเริ่มกำหนดชนิดสินทรัพย์ใน Core portfolio และ Satellite portfolio ว่าจะลงทุนสินทรัพย์อะไร สัดส่วนเท่าไร แต่สำหรับ Satellite portfolio เจษฎา แนะนำให้เลือกมาสัก 1-3 สินทรัพย์ โดยอาจจะเป็นหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนสูง และ REITs ต่างประเทศ

“เป้าหมายของการมี Satellite portfolio คือ การทำให้ผลตอบแทนรวมดีกว่าการลงทุนใน Core portfolio เพียงอย่างเดียว แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า Satellite portfolio มีความผันผวนมากกว่า และอาจทำให้ผลตอบแทนรวมลดลงได้เช่นกัน ถ้าเลือกลงทุนผิด” เจษฎา กล่าว

ถ้าเป็นแค่ Core- satellite Portfolio ธรรมดาๆ ก็คงจบที่ขั้นตอนนี้ แต่เพื่อยกระดับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เจษฎา จึงเพิ่มกลยุทธ์การ Trading เพื่อบริหารพอร์ตให้กับ Satellite portfolio และ Rebalancing สำหรับพอร์ตโดยรวมด้วย

นั่นคือ การกำหนดผลตอบแทนเป้าหมาย (Target return) และจุดตัดขาดทุน (Stop loss) สำหรับ Satellite portfolio เช่น ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่ 12% แต่กำหนดจุดตัดขาดทุนที่ต่ำกว่า เช่น 6% เพื่อจำกัดผลขาดทุนของพอร์ตไว้

“หากมีการทำ Satellite trading 10 ครั้ง และถูกผิดอย่างละ 5 ครั้ง ผลกำไรไม่รวมต้นทุนค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 12x5 = 60% ขณะที่ผลขาดทุนจะอยู่ที่ 6x5 = 30% เพราะฉะนั้นสุทธิแล้วยังคงมีผลกำไรสูงถึง 30%” เจษฎา แนะนำ

ขณะที่ Core portfolio เจษฎา แนะนำให้ปรับสัดส่วนลงทุน (Rebalancing) แบบซื้อถูกขายแพงช่วยในการจัดพอร์ต เพราะในช่วงที่หุ้นขึ้นมากๆ จนทำให้สัดส่วนการลงทุนหุ้นเพิ่มเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ ก็ให้ขายทำกำไรจากส่วนหุ้นไปเข้าตราสารหนี้ และถ้าเป็นช่วงที่หุ้นลงมากๆ ขายตราสารหนี้กลับเข้าไปช้อนลงทุนในหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วนเดิมไว้

นอกจากนี้ เมื่อลงทุนไประยะหนึ่งแล้ว จะต้องมีการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่าง Core portfolio และ Satellite portfolio โดยในกรณีที่ Satellite portfolio ทำกำไรได้ดีจนทำให้สัดส่วนเพิ่มจากที่กำหนดไว้ในตอนเริ่มต้นก็ต้องขายทำกำไรนำเงินไปใส่ใน Core portfolio และหาก Satellite portfolio ขาดทุนจนสัดส่วนลดลงจะย้ายเงินจาก Core portfolio มาลงทุนเพิ่มก็ได้

 ถ้าทำได้ตามนี้ ดวงตะวัน ของเราจะเปล่งประกายเป็นกำลังหลัก และดาวบริวาร จะเพิ่มความสดใสให้เงินลงทุน ช่วยกันสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้เราได้

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’