เงินกับอารมณ์
โดย...กำพล สุทธิพิเชษฐ์
โดย...กำพล สุทธิพิเชษฐ์
คนบางคนทำงานมาตั้งนาน ทำตั้งแต่เงินเดือนห้าหลักต้นๆ จนถึงหกหลัก แต่ทำไมถึงยังไม่มีเงินเก็บมากมาย บางคนยังรู้สึกว่าไม่พอใช้ แม้ว่ามาตรฐานการครองชีพของเราจะเปลี่ยนไปตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของความอยากได้อยากมีของคนเรา แต่มันแค่ก็ระดับหนึ่ง เช่น เคยดื่มน้ำเปล่า เปลี่ยนเป็นน้ำส้ม เป็นกาแฟเย็นแก้วละ 20 บาท จนกลายเป็นกาแฟแก้วละ 120 บาท แต่มันก็ต้องหยุดที่ระดับหนึ่ง เพราะไม่มีกาแฟแก้วละ 500 บาทขายแน่ๆ แล้วทำไมรายได้เราที่เพิ่มขึ้นตลอด จึงยังไม่พอใช้ เพราะมันมีเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต (ตามความจำเป็น) เป็นกับดักเราอยู่ ถ้าเรารู้เท่าทันเรื่องพวกนี้ ก็จะช่วยให้เราไม่ใช้อารมณ์ในการจัดการเรื่องเงิน เราก็จะมีเงินเหลือเก็บมากขึ้นหรือเหลือให้ใช้เพียงพอ
ยิ่งช่วงนี้หลายคนได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น โบนัสออก แล้วลองมาดูกันว่าจะมีเงินพอใช้กันมากกว่าปีที่แล้วไหม หรือยังชักหน้าไม่ถึงหลังเหมือนเดิมหรืออาจจะหนักกว่าเดิม น่าคิดนะครับ เราเองเคยมานั่งวิเคราะห์กันไหมครับว่าทำไม ทั้งๆ ที่รายได้ก็เพิ่มขึ้นแล้ว จริงๆ แล้วปัญหามันอยู่ที่ไหนกันแน่
หลอกตัวเองหรือเปล่า – อันนี้เป็นข้อแรกเลย เริ่มจากผมมีคำถามจะถามท่านผู้อ่านว่า คุณมีเงินเดือนเท่าไร ตอบในใจนะครับ เดี๋ยวเพื่อนข้างๆ ได้ยินเงินเดือนของเรา คำตอบของคุณคือเงินเดือนที่ได้ก่อนหักภาษี หรือตอบเงินเดือนที่เป็นรายได้สุทธิหลังหักภาษี หักประกันสังคม หักกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และอื่นๆ อีกมากมายแล้ว มันต่างกันเยอะนะครับ ระหว่างความคิดที่ว่าเราได้เงินเดือน เดือนละเท่าไร กับเงินได้สุทธิที่เรามีใช้จริงในแต่ละเดือน
เช่นเดียวกันการที่เราได้โบนัสหรือเงินเดือนในส่วนที่เพิ่มขึ้น ถ้าเราคิดว่าเราได้โบนัส 4 เดือน เราเอาฐานเงินเดือนคูณ 4 ในใจ หรือหัวหน้าบอกเราว่า ได้ขึ้นเงินเดือนอีกเดือนละเท่าไร แวบแรกคนเราส่วนใหญ่จะคิดทันทีว่าเงินก้อนนั้นสามารถเอาไปซื้ออะไรได้ แต่ละเดือนสามารถผ่อนอะไรเพิ่มได้อีก หรือลงทุนอะไรเพิ่มได้อีก ถ้าเราไม่พยายามคิดให้เห็นตัวเงินสุทธิที่ได้หลังหักภาษีให้ชิน เราอาจตัดสินใจผิดพลาดไป อาจส่งผลให้เงินได้สุทธิของเราที่เพิ่มขึ้นไม่พอกับภาระที่เพิ่มขึ้นที่เราตัดสินใจไปก่อไว้แล้ว
มักจะลืมเงินเฟ้อ – แม้ว่าเราจะดูตัวเงินได้สุทธิที่ได้รับหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วก็ตาม เราเองก็มักจะหลงไปกับตัวเงิน โดยลืมดูค่าที่แท้จริงของเงิน เช่น เราอาจจะดีใจที่ได้เงินเดือนขึ้น 8% แต่ถ้าเงินเฟ้อขึ้นเท่ากัน แสดงว่าอำนาจซื้อคงเดิม ถ้าเราหลงไปก็จะคิดว่าเงินเดือนขึ้น เดี๋ยวจะผ่อนโน้นผ่อนนี้ได้เพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่อำนาจซื้อของคุณไม่ได้เพิ่มเลย ดังนั้นคุณต้องคำนึงถึงค่าเงินที่แท้จริงอยู่เสมอ อย่าให้ตัวเงินมาหลอกเรา แต่ไม่ต้องไปย้อนถามหัวหน้าตอนแจ้งขึ้นเงินเดือนว่า สุทธิแล้วอำนาจซื้อผมขึ้นเท่าไร เพราะอาจตกงานได้
เงินในกระเป๋ามีค่าไม่เท่ากัน – หมายถึงเงินแต่ละบาทในกระเป๋าเราเองแท้ๆ กลับมีค่าไม่เท่ากัน เพราะเราไปให้คุณค่าเงินบางบาทน้อยกว่าบางบาท เพราะจากการศึกษาพบว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะชอบใช้จ่ายอย่างไม่ค่อยระวังกับเงินที่เห็นว่าได้มาเปล่าๆ เช่น โบนัส เงินคืนภาษี เงินจากการถูกหวย เป็นต้น มากกว่าเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง โดยลืมไปว่าเงิน 1 บาท ไม่ว่าได้มาจากทางไหนก็มีมูลค่าเท่ากัน หรืออย่างที่เขาพูดกันว่าเงินที่ได้มาง่ายก็จะจ่ายไปง่าย
การที่ให้คุณค่าในใจกับเงินที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ ไม่เท่ากัน ก็จะทำให้เราใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยกว่าเงินที่ได้มาจากการออม การตัดสินใจกับเงินที่คิดว่าได้มาเปล่าๆ แบบนี้ จึงถือว่าไม่สมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น ถ้าจิตใจของท่านยังไม่ถึงขั้นเทพที่จะแยกแยะออกได้ขนาดนั้น ณ เวลาที่ได้เงินมา หรือเป็นคนที่ใช้อารมณ์ในการบริหารเงินเป็นหลัก ขอแนะนำว่าเงินที่ได้มาเปล่าๆ ควรเก็บสักพักก่อนที่จะตัดสินใจใช้ออกไป เช่น เอาเข้าบัญชีเงินฝากประจำไปเลย หรือบัญชีออมทรัพย์ที่ไม่มีเอทีเอ็ม แล้วเอาสมุดไปฝากไว้กับคนที่ช่วยเตือนเราได้ ยิ่งเก็บไว้นานเท่าไร ก็ยิ่งจะมีแนวโน้มทำให้เราคิดว่าเงินนั้นเป็นเงินออมของเราจริงๆ แล้วเราจะใช้เงินนั้นอย่างมีเหตุผลกว่า
ซื้อเยอะเพราะลดราคา – การซื้อของมากแล้วมีของแถม อันนี้มีบ่อย เพราะจะคิดว่าไม่เห็นเสียหายอะไรเลยของที่ซื้อเพิ่มก็เก็บได้นาน แถมได้ของแถมอีก อันนี้ก็ถูกอารมณ์ที่ชื่อ “งก” พาไปติดกับดักอีก ต้องถามตัวเองก่อนว่าของแถมได้ใช้หรือไม่ จำเป็นต้องซื้อเยอะขนาดนั้นไหม ทำนองเดียวกันกับซื้อเป็นชุดแล้วได้ส่วนลดพิเศษ การซื้อลักษณะนี้บ่อยครั้งที่ไม่คุ้มเลย เพราะไม่ตรงกับความต้องการของเรา หรืออย่างกรณีอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ บางครั้งเราก็ตัดสินใจพลาด เพราะรับประทานไม่คุ้ม ผมเองเคยลองรับประทานร้านอาหารประเภทเดียวกันแต่ไม่เป็นบุฟเฟ่ต์ รับประทานจนอิ่มเหมือนกัน หารมาต่อหัวก็ไม่แตกต่าง แถมได้เลือกในสิ่งที่อยากรับประทาน และคุณภาพดีกว่าด้วยซ้ำ
ท้ายนี้ ก็อยากจะบอกว่าการใช้เงินกับเหตุผลถ้าไปด้วยกันได้ คุณจะรวยและมีเงินเก็บ แต่ถ้าเป็นประเภทรายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง หรือรายได้สูงแต่รสนิยมสูงกว่า หาอย่างไรก็ไม่พอใช้ อย่าว่าแต่เก็บเลยครับ บางคนมีรายได้เดือนละไม่มาก แต่หากรู้จักใช้ ก็จะมีเก็บ อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า Live within your means พบกันใหม่เดือนหน้าครับ


