posttoday

'นานมีบุ๊คส์' ยุคคิม ลุยออนไลน์/Go Genius School

08 มกราคม 2559

โดย...สุกัญญา สินถิรศักดิ์

โดย...สุกัญญา สินถิรศักดิ์

เป็นหนึ่งในผู้บริหารรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองไม่น้อยสำหรับ “คิม จงสถิตย์วัฒนา” ทายาทรุ่นที่สองของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจสำนักพิมพ์ในช่วงที่ท้าทายมาก จากการที่ธุรกิจนี้กำลังถูกสั่นคลอนด้วยสื่อออนไลน์ โจทย์สำคัญในการสานต่อธุรกิจในมุมของทายาทนานมีบุ๊คส์ นั่นคือการตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นสำนักพิมพ์ด้านการศึกษาให้แข็งแกร่งผ่านโครงการด้านการศึกษาต่างๆ เพื่อให้แบรนด์สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ยังคงรักษาความเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ของตลาดนี้ ควบคู่ไปกับการปรับตัวรับมือทางด้านธุรกิจต่างๆ

คิม จงสถิตย์วัฒนา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท นานมีบุ๊คส์ และทายาทของสุวดี จงสถิตย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นานมีบุ๊คส์ และผู้ก่อตั้งธุรกิจสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ กล่าวว่า เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวตั้งแต่ปี 2549 โดยดูด้านคลังสินค้าก่อน แล้วค่อยขยายไปดูในส่วนอื่นๆ โดยเน้นกลยุทธ์ด้านช่องทางการขายและพัฒนาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

“หลังจากที่เข้ามาบริหารงานอย่างเต็มตัว ได้เดินทางไปดูงานยังประเทศต่างๆ เพื่อนำกลับมาต่อยอดการทำงานในบริษัท โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านการศึกษา จนได้ก่อตั้งสถาบันนานมีบุ๊คส์อินโนเวชั่น ซึ่งเน้นเรื่องการนำนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ เข้ามาต่อยอดการเรียนรู้จากหนังสือ เป็นกิจกรรมการอบรมที่สร้างสรรค์และสนุกสนาน เช่น การจัดค่ายวิทยาศาสตร์ การจัดค่ายการอ่าน การจัดอบรมพัฒนาคุณครูในสาขาวิชาต่างๆ”

ที่่ผ่านมาสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์เน้นหนังสือและสื่อการเรียนรู้ในด้านต่างๆ โดยรวบรวมทั้งในประเทศและจากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งในส่วนของต่างประเทศก็นำมาแปล แล้วก็ปรับบริบทให้เข้ากับเมืองไทย มีทั้งขายและแจกฟรี มีกิจกรรม รับจ้างจัดค่าย และจัดอบรมครู จัดทำหลักสูตรให้โรงเรียน หลักการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ทำศูนย์วิทยาศาสตร์ ซึ่งนวัตกรรมการเรียนรู้จะเชื่อมโยงหนังสือ

ปัจจุบันหนังสือที่จำหน่ายในนามสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ แบ่งเป็น ความรู้ประมาณ 60% และบันเทิง 40% ถ้าแบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย จะเป็นหนังสือเพื่อเด็กอายุ 0-8 ขวบ ประมาณ 15% อายุ 9-18 ปี ประมาณ 70% และอายุ 18 ปีขึ้นไป ประมาณ 15% ซึ่งตลอด 24 ปีของนานมีบุ๊คส์เป็นทิศทางนี้มาตลอด ในฐานะทายาทที่อยู่กับธุรกิจนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้ และพร้อมที่จะต่อยอดจากพื้นฐานเดิมไปสู่สิ่งใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ที่หลากหลาย

คิม กล่าวว่า จากพื้นฐานที่แข็งแรงของนานมีบุ๊คส์ ภารกิจสำคัญนับจากนี้อย่างที่กล่าวว่า นั่นคือการต่อยอดให้กับสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ทั้งในแง่การมี “Go Genius School” สถาบันพัฒนาศักยภาพความพร้อมด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ การอ่าน และทักษะชีวิต เพื่อทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ของเด็ก การมี “ห้องเรียนทดลองวิทย์” หรือ “กัก-เคน” (Gakken) ลิขสิทธิ์หลักสูตรของบริษัทที่มีชื่อเสียงทางด้านการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น เป็นหลักสูตรที่จะทำให้เยาวชนระดับประถมศึกษารักวิทยาศาสตร์ โดยผ่านการทดลองด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ยังมีนานมีบุ๊คส์ เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์ แหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนแบบ 360 องศาสำหรับนักเรียน ครูและประชาชนทั่วไป โดยเกิดจากความร่วมมือกับศูนย์วิทยาศาสตร์เฟโนเมนต้า (Phaenomenta) ประเทศเยอรมนี และยังมีศูนย์พัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย มี “Math Whizz” สื่อการสอนและการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ จากประเทศอังกฤษ โดยมีระบบออนไลน์เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้ปกครอง เข้าด้วยกัน สามารถเสริมการเรียนวิชาคณิตศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีอีกหลายนวัตกรรมที่ทายาทนานมีบุ๊คส์พยายามผลักดัน

สำหรับโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ที่เดินตามแนวทางนี้ทั้งสนับสนุนด้านการศึกษาและต่อยอดให้กับธุรกิจได้ โดยเป็นโครงการที่นำร่องกับ 8 พันธมิตร เช่น มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา บริษัท นานมีบุ๊คส์ กลุ่ม บี.กริม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เกิดจากโครงการ “Haus der Kleinen Forscher” (บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย) ซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กอนุบาลในเยอรมนี เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งพันธมิตรนำร่องได้ร่วมกันริเริ่มโครงการนำร่องในปี 2553 กับโรงเรียนอนุบาล 221 แห่ง โดยหลังจากผ่านมาแล้ว 5 ปี ปัจจุบันขยายแนวคิดของโครงการนี้ไปยังเครือข่ายโรงเรียนอนุบาลแล้วกว่า 1.5 หมื่นแห่ง และมีเป้าหมายที่จะขยายต่อเนื่อง โดยในปี 2559 นี้อาจจะนำร่องขยายผลไปยังชั้นประถมศึกษา

“หัวใจสำคัญของโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย คือ ทำอย่างไรให้การเรียนวิทยาศาสตร์สนุก เด็กรู้จักคิด รู้จักตั้งคำถาม ช่างสังเกต ซึ่งระบบที่เยอรมันทำไว้ดีมากเมื่อนำมาปรับใช้กับเด็กไทยก็ทำให้เห็นการตอบรับจากกลุ่มครูผู้สอนและเด็กผู้เรียน เด็กๆ ให้ความสนใจกับวิทยาศาสตร์มากขึ้น จากปกติอนุบาลส่วนใหญ่จะไม่มีชั่วโมงวิทยาศาสตร์”

คิม กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กต้องโตไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่มีวิธีคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ และพื้นฐานที่ดีตั้งแต่อนุบาลจะทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่คิดอย่างมีเหตุและผล แต่แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้สวยหรู มีอุปสรรค และแนวคิดหลายอย่างไม่ได้ถูกส่งต่อไปอย่าง 100% ซึ่งก็ต้องค่อยๆ ปรับ แต่ก็เป็นสิ่งที่ท้าย เพราะนี่ถือเป็นหนึ่งในการช่วยสังคมระยะยาวในการเตรียมสร้างบุคลากร

ขณะที่การทำงานเชิงพันธมิตรกับ 8 พันธมิตรที่กล่าวมาถือเป็นความร่วมแรงร่วมใจด้วยการอาศัยความแข็งแกร่งที่พันธมิตรแต่ละรายมี เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจใหญ่ที่อาจจะไม่ได้ส่งผลกับธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม แต่จะทำให้ภาพของนานมีบุ๊คส์ในเชิงผู้นำเสนอสื่อเพื่อการศึกษาชัดเจนขึ้น โดยท้ายที่สุดการทำงานทุกรูปแบบต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัด ทั้งเป้าหมายโครงการและเป้าหมายคนทำงาน และความกดดันจากสิ่งรอบตัวจะเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้ทุกอย่างเดินไปข้างหน้าได้ตามเป้าหมาย

ข่าวล่าสุด

สนง.สลากฯ ชูยุทธศาสตร์ปี 69 ลดสลากใบ เพิ่มสลากดิจิทัล–N3 คุมสมดุลตลาด