ปิดคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงไทย ศาลสั่งจำคุกทั้ง 'เจ้าหนี้-ลูกหนี้'
เหตุการณ์แห่งปีในแวดวงการเงินในปีนี้ ไม่มีเรื่องไหนจะสร้างความฮือฮาให้ได้มากเท่า เหตุการณ์ที่
โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง
เหตุการณ์แห่งปีในแวดวงการเงินในปีนี้ ไม่มีเรื่องไหนจะสร้างความฮือฮาให้ได้มากเท่า เหตุการณ์ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหาร วิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการ มัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา กรรมการบริหาร คนละ 18 ปี
นอกจากนี้ ยังได้สั่งจำคุกคณะกรรมการสินเชื่อ คนละ 12 ปี ประกอบด้วย พงศธร สิริโยธิน โสมนัส ชุติมา สุวิทย์ อุดมทรัพย์ วันชัย ธนิตติราภรณ์ บุญเลิศ ศรีเจริญ กลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อ ประพันธ์พงศ์ ปราโมทย์กุล กุลวดี สุวรรณวงศ์ สุวรัตน์ ธรรมรัตนพคุณ ประวิทย์ อดีตโต ศิริวรรณ ชินอิสระยศ
นั่นเป็นฝั่งเจ้าหนี้ ทางฝั่งลูกหนี้ก็ถูกศาลพิพากษาจำคุก คนละ 12 ปีด้วยเช่นกัน คือ สุบิน แสงสุวรรณเมฆา บัญชา ยินดี วิชัย กฤษดาธานนท์ รัชฎา กฤษดาธานนท์ เจ้าของบริษัท กฤษดามหานคร และไมตรี เหลืองนิมิตรมาศ กรรมการผู้มีอำนาจ และให้บริษัท กฤษดามหานคร วิชัย และรัชฎา ร่วมกันคืนเงิน 1 หมื่นล้านบาท ชดใช้ธนาคารกรุงไทยด้วย
คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2548 โดยฝ่ายตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตรวจพบความผิดปกติในการปล่อยสินเชื่อวงเงิน 9,900 ล้านบาท ให้กับบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท กฤษดามหานคร โดยมีที่ดินย่านสนามบินสุวรรณภูมิ 4,000 ไร่ มาค้ำประกัน แจ้งว่าจะนำเงินกู้ไปไถ่ถอนที่ดินที่ติดจำนองอยู่กับธนาคารกรุงเทพ 8,000 ล้านบาท ส่วนอีก 1,900 ล้านบาท จะนำไปพัฒนาที่ดิน
แต่กลับนำเงินไปไถ่ถอนที่ดินเพียง 4,450 ล้านบาท ที่เหลือนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยโอนเงินในรูปแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีของคนที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองพรรคใหญ่ 2 คน พบว่า บริษัท โกลเด้นฯ จ่ายแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง 2 คน บัญชีหนึ่งประมาณ 100 กว่าล้านบาท และอีกบัญชีประมาณ 30 ล้านบาท
เรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดย ธปท.เป็นผู้ดำเนินการกล่าวโทษคณะกรรมการและผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ในข้อหาทุจริตในหน้าที่ปล่อยกู้ไม่โปร่งใสทั้งหมด 12 เรื่อง ทำความเสียหายให้กับธนาคาร 7.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุให้ ธปท.สั่งระงับการต่ออายุวิโรจน์ อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคาร ให้ดำรงตำแหน่งต่อ
คดีนี้อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เป็นจำเลยที่ 1 สั่งการผู้บริหารธนาคารกรุงไทย อนุมัติสินเชื่อแก่กลุ่มกฤษดามหานคร ทั้งๆ ที่กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร โดยผู้อำนวยการฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงในอันดับ 5 คือ ไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้
อย่างไรก็ตาม ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้กลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1.อนุมัติสินเชื่อให้บริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล 500 ล้านบาท 2.อนุมัติสินเชื่อให้บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค 9,900 ล้านบาท 3.อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของบริษัท กฤษดามหานคร ให้บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ คอมมูนิเคชั่น 1,185 ล้านบาท ถือว่ามีพฤติการณ์ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการบริษัท กฤษดามหานคร เพื่อประโยชน์ส่วนตนกับพวก
ทั้งนี้ ในชั้นพิจารณา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หลบหนีคดี องค์คณะฯ จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับเพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ภายหลังคำพิพากษาของศาลทำให้ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารทั้งหมดที่เดินทางไปฟังคำพิพากษาต้องถูกจำคุกทันที เกิดอาการช็อกไปทั่ววงการ เพราะไม่คิดว่าศาลจะพิพากษาลงโทษหนักแก่นายแบงก์ทั้งหมด ส่งผลให้นายแบงก์ทั้งระบบตระหนักถึงระบบการตรวจสอบและธรรมาภิบาลในการบริหาร โดยเฉพาะผู้บริหารธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ที่จะโดนโทษหนักหากบริหารไม่รอบคอบทำให้ถูกการเมืองแทรกแซง กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการบริหารรัฐวิสาหกิจ ทำให้การทำงานของแบงก์รัฐเกิดชะงักงันไประยะหนึ่ง
แม้ศาลจะสั่งจำคุกอดีตผู้บริหารธนาคารและอดีตผู้บริหารของ บริษัท กฤษดามหานครแล้ว แต่คดีนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวเนื่องในเรื่องการชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งนี้ บริษัท กฤษดามหานคร ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอคิว เอสเตท (AQ) ซึ่งทางบริษัท เอคิวฯ จะให้ธนาคารยึดหลักประกันที่ดิน 4,000 ไร่ เป็นค่าเสียหาย โดยประเมินราคาที่ดินดังกล่าวไว้สูงถึง 10,004,467,480 บาท และมั่นใจว่าเพียงพอชำระค่าเสียหายตามคำสั่งศาลโดยไม่ต้องควักเงินเพิ่มมากกว่านี้ เพื่อให้ครบตามมูลค่าที่ศาลมีคำสั่ง


