posttoday

การละเมิดอำนาจศาล

24 ธันวาคม 2558

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ทนายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จ.อุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ศาลฎีกาสั่งประหารชีวิตนายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือ ดีเจต้อย แกนนำ นปช.เมืองอุบลราชธานี ฐานเป็นผู้ก่อให้เผาศาลากลางเมื่อเดือน พ.ค. 2553 โดยอ้างว่า ฟังการอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมง เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในคำพิพากษาดังกล่าว และต่อมาโฆษกศาลยุติธรรมยืนยันว่า ศาลไม่มีคำพิพากษาประหารชีวิตแกนนำแดง อุบลฯ คดีเผาศาลากลาง ทนายคลายทุกข์จึงขอนำความรู้เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาลมานำเสนอท่านผู้อ่านว่า การให้สัมภาษณ์ถึงกระบวนพิจารณาคดีหรือคำพิพากษาของศาล จะบิดเบือนไม่ได้ ต้องให้สัมภาษณ์ตามความเป็นจริงและไม่ชี้นำศาล สำหรับคดีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี สื่อมวลชนก็เช่นเดียวกัน การเสนอข่าวต้องตรวจสอบให้รอบคอบก่อนนำเสนอข่าว มิฉะนั้น จะต้องรับผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จะอ้างว่ากระทำการโดยสุจริตไม่ได้

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ทนายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จ.อุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ศาลฎีกาสั่งประหารชีวิตนายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือ ดีเจต้อย แกนนำ นปช.เมืองอุบลราชธานี ฐานเป็นผู้ก่อให้เผาศาลากลางเมื่อเดือน พ.ค. 2553 โดยอ้างว่า ฟังการอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมง เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในคำพิพากษาดังกล่าว และต่อมาโฆษกศาลยุติธรรมยืนยันว่า ศาลไม่มีคำพิพากษาประหารชีวิตแกนนำแดง อุบลฯ คดีเผาศาลากลาง ทนายคลายทุกข์จึงขอนำความรู้เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาลมานำเสนอท่านผู้อ่านว่า การให้สัมภาษณ์ถึงกระบวนพิจารณาคดีหรือคำพิพากษาของศาล จะบิดเบือนไม่ได้ ต้องให้สัมภาษณ์ตามความเป็นจริงและไม่ชี้นำศาล สำหรับคดีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี สื่อมวลชนก็เช่นเดียวกัน การเสนอข่าวต้องตรวจสอบให้รอบคอบก่อนนำเสนอข่าว มิฉะนั้น จะต้องรับผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จะอ้างว่ากระทำการโดยสุจริตไม่ได้

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับคดีละเมิดอำนาจศาล

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2535

ข้อความตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองและสำเนาคำร้องเรียนถึงบุคคลต่างๆ แนบท้ายฎีกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ระบุข้อความสำคัญอันมีลักษณะเป็นการก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลอย่างรุนแรง เมื่อโจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นทนายความได้ร่วมกันลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียง โดยให้ผู้ถูกกล่าวหานำมายื่นต่อศาลชั้นต้น การกระทำของโจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1), 33 ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะผู้ถูกกล่าวหานำฎีกามายื่นต่อศาลชั้นต้น ประกอบกับฎีกามีลักษณะท้าทายอำนาจศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงและแจ้งชัด ไม่มีข้อที่น่าสงสัยว่าได้กระทำไปโดยเลินเล่อหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ศาลชั้นต้นลงโทษโดยไม่สั่งให้แก้ไขเสียก่อน จึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 71-72/2491

ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์กล่าวข้อความก้าวร้าวเสียดสีคำพิพากษาซึ่งศาลได้กระทำในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศาลสั่งให้แก้ไขข้อความให้เรียบร้อยเสียก่อนก็ยังกล่าวความเช่นนั้นอีก ศาลสั่งให้แก้เป็นครั้งที่ 2 ก็ไม่แก้และยืนยันให้ถือฟ้องอุทธรณ์นั้น ดังนี้ ศาลมีอำนาจสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้

ถ้อยคำที่กล่าวในฟ้องจะมีความหมายธรรมดาถึงขนาดที่จะต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย

เรียงฟ้องอุทธรณ์กล่าวข้อความก้าวร้าวเสียดสี ศาลผู้ทำการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นอย่างแรง ศาลสั่งให้แก้ไขเสียให้เรียบร้อยก็คงเรียงฟ้องอุทธรณ์กล่าวข้อความอย่างเดิมมายื่นอีก จนศาลสั่งให้แก้ไขเป็นครั้งที่ 2 ก็ยังเรียงคำร้องยื่นต่อศาลขอยืนยันให้รับอุทธรณ์นั้น ดังนี้ถือว่าเป็นคำกล่าวที่ไม่เรียบร้อย อันควรจะนำมายื่นต่อศาลผู้กระทำการในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล และเมื่อศาลสั่งให้แก้ไขความไม่เรียบร้อยนั้นเสียก็ไม่แก้ กลับจงใจยืนยันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ศาลสั่งห้ามคู่ความมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางก่อความรำคาญหรือในทางประวิงให้ชักช้า หรือในทางฟุ่มเฟือยตามอำนาจศาลที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 นั้นอีก จึงเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2533

โจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์คำร้องซึ่งมีข้อความเสียดสีศาลย่อมตระหนักในข้อความตามคำร้องเป็นอย่างดี จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดตามเนื้อความในคำร้อง การที่ทนายความของโจทก์ไม่ได้ตรวจคำร้องก่อนที่โจทก์จะนำมายื่นต่อศาลไม่เป็นเหตุที่ยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้ และไม่อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องผิดพลาดและผิดหลง การที่โจทก์ขอถอนคำร้องซึ่งมีข้อความเสียดสีศาล หาทำให้ข้อความตามคำร้องที่เป็นการละเมิดอำนาจศาลหมดไปโดยการถอนคำร้องไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1) ไม่ได้บัญญัติว่าความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเตือนแล้วจึงจะถือว่ามีเจตนาละเมิดอำนาจศาล

ตัวบทกฎหมายอ้างอิง

มาตรา 32 ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ บรรณาธิการ หรือผู้พิมพ์โฆษณาซึ่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์อันออกโฆษณาต่อประชาชน ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะได้รู้ถึงซึ่งข้อความหรือการออกโฆษณาแห่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่านั้นหรือไม่ ให้ถือว่าได้กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างดังจะกล่าวต่อไปนี้

 (2) ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ในระหว่างการพิจารณาแห่งคดีไปจนมีคำพิพากษาเป็นที่สุด ซึ่งข้อความหรือความเห็นโดยประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาลหรือเหนือคู่ความหรือเหนือพยานแห่งคดีซึ่งพอเห็นได้ว่าจะทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป เช่น

ก.เป็นการแสดงผิดจากข้อเท็จจริงแห่งคดี หรือ

ข.เป็นรายงานหรือย่อเรื่องหรือวิภาค ซึ่งกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่เป็นกลางและไม่ถูกต้อง หรือ

ค.เป็นการวิภาคโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งการดำเนินคดีของคู่ความ หรือคำพยานหลักฐาน หรือนิสัยความประพฤติของคู่ความหรือพยาน รวมทั้งการแถลงข้อความอันเป็นการเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของคู่ความหรือพยาน ถึงแม้ว่าข้อความเหล่านั้นจะเป็นความจริง หรือ

การชักจูงให้เกิดมีคำพยานเท็จ

ทนายความฟังคำพิพากษาต้องตั้งใจฟังให้ละเอียด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามผู้พิพากษาที่อ่านคำพิพากษาให้ชัดแจ้ง สื่อมวลชนก็เช่นเดียวกัน ต้องตรวจสอบก่อนตีพิมพ์หรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จะอ้างความสุจริตไม่ได้ ถ้าผิดพลาดต้องรับผิดนะครับ

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี