posttoday

"ทรีนีตี้" ประเมินหุ้นไทยปีหน้า 1,100-1,500 จุด

14 ธันวาคม 2558

บล.ทรีนิตี้ ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยปีหน้า มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้างขึ้นกว่า 400 จุด เหตุไร้ปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน

บล.ทรีนิตี้ ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยปีหน้า มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้างขึ้นกว่า 400 จุด เหตุไร้ปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะมีความท้าทายไม่แพ้กับปี 2558 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป โดยประเมินดัชนี มีโอกาสจะแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้างขึ้นกว่า 400 จุด (จุดสูงสุด – จุดต่ำสุด) หรือคาดการณ์กรอบดัชนีที่ 1,100-1,500 จุด อ้างอิงช่วงระดับค่าสัดส่วนราคาต่อกำไร(พีอี) ที่ 11-15 เท่า และสมมติฐานกำไรต่อหุ้น( EPS )ของ ตลาดหุ้น ปีหน้าที่ 100 บาทต่อหุ้น เพราะสาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ 

ทั้งนี้ ในภาวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวแกว่งแคบ มองกลยุทธ์การลงทุน “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” จะยังได้เปรียบกว่ากลยุทธ์ “ซื้อถือยาว” คาดตลาดหุ้นไทยในปีหน้ายังไม่อยู่ในช่วงภาวะขาลงแต่มองปี 2560 จะเป็นปีที่น่ากังวลอย่างแท้จริง เนื่องจากปัจจัยสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่จะเริ่มปรับตัวลดลง

“คาดในปี 2559 จะเป็นจุดสูงสุดของสภาพคล่องในระบบการเงินโลก  หลังจากที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มประกาศใช้นโยบายการเงินเข้มงวดแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน  ของธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้วเริ่มจำกัด ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ธนาคารกลางแต่ละประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น และยุโรป ตัดสินใจหยุดขยายวงเงินการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป” นายณัฐชาต กล่าว

ข้อโชคดีประการหนึ่งของตลาดหุ้นไทย ได้แก่ การที่นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในระดับที่ต่ำมากในขณะนี้ ซึ่งอาจทำให้แรงขายของนักลงทุนกลุ่มนี้มีจำกัด แต่อย่างไรก็ตามหากจะให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในรอบใหม่อย่างมีนัยสำคัญนั้น ความเชื่อมั่นหลายปัจจัยในประเทศจะต้องมีทิศทางที่ชัดเจนกว่านี้ อาทิ ปัจจัยด้านการเมือง แนวโน้มเศรษฐกิจ ทิศทางนโยบายภาครัฐ เป็นต้น ขณะเดียวกันระดับมูลค่า  ของ ดัชนี ที่ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่ “ถูก” จนน่าสนใจ และยังเห็นสัญญาณการหั่นประมาณการของนักวิเคราะห์ในตลาดที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจยังดูไม่น่าสนใจมากนักสำหรับนักลงทุนระยะยาว 

ในภาวะการลงทุนที่ปัจจัยมหภาคเชิงบวกจำกัด มองว่าการเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง  กว่าตลาดจะมีความปลอดภัยสูงสุด โดยประเมินว่าในปี 2559 หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก น่าจะเติบโตได้ดีชนะ  หุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นกว่า และยังมีระดับมูลค่าหุ้น  ที่น่าสนใจกว่า นอกจากนั้นยังได้อานิสงส์จากสภาพคล่องในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากภาวะดอกเบี้ยระดับต่ำ

นายณัฐชาต กล่าวว่า หุ้นที่น่าสนใจสำหรับในปี 2559 ให้เน้น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐ ได้แก่ BEM, CK หุ้นที่ได้ประโยชน์ต่อยอดจากเทคโนโลยี 4G ได้แก่ COM7, JMART, SYNEX หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาไก่ฟื้นตัว ได้แก่ CPF, GFPT, TFG หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ DELTA, KCE หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาวะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ขาขึ้น ได้แก่ BLA หุ้นกลุ่มธุรกิจขั้นปลาย ในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ BCP, IRPC และหุ้นพื้นฐานดี  ของหมวดอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้แก่ ADVANC, TCAP, LH

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด การท่าเรือ พบ ทรู แบงค็อก ช้าง เอฟเอ คัพ วันนี้ 21 ธ.ค.68