posttoday

KTC ทำวันนี้หวังโตยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้ถือหุ้น ไม่ใช่นักเล่นหุ้น

10 ธันวาคม 2558

โดย...เยาวนา หลิมเลิศรัตน์

โดย...เยาวนา หลิมเลิศรัตน์

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไม่สดใสในปี 2558 ทว่าบริษัท บัตรกรุงไทย (KTC) ยังเติบโตได้ดีและสูงกว่าอุตสาหกรรม โดยในช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 1,538 ล้านบาท และคาดว่าจะปิดงวดได้ในระดับ 2,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2557 อยู่ที่ 1,755 ล้านบาท

สำหรับปี 2559 จะเป็นปีแรกในรอบ 4 ปี ภายใต้การบริหารของซีอีโอชื่อ “ระเฑียร ศรีมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC ที่แม้กำไรสุทธิจะไม่เติบโตก้าวกระโดดเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนกังวลใจ แต่ด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้เขาหวังผลว่ากำไรจะกลับมาเติบโตก้าวกระโดดได้ในปี 2560

ระเฑียร กล่าวว่า แผนงานในปี 2559 บริษัทจะรักษากำไรสุทธิไม่ให้ต่ำกว่าปี 2558 ที่คาดว่าจะอยู่ระดับ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องใช้งบการตลาดมากขึ้น เพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาดหรือมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15% ในปีหน้า โดยจะทำการตลาดอย่างเข้มข้นในทุกธุรกิจหลักแบบองค์รวม ทั้งธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล ธุรกิจร้านค้า การบริหารช่องทางจัดจำหน่ายและออนไลน์

อย่างไรก็ตาม การขยายส่วนแบ่งตลาดเพียงด้านเดียวคงทำได้ไม่สมบูรณ์นัก หากระบบและปัญหาต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับลูกค้ายังไม่ได้รับการแก้ไขให้เป็นที่พึงพอใจ ดังนั้นในปี 2559 จำเป็นต้องปฏิรูปองค์กร 3 แกนหลัก ได้แก่ เรื่องคน ระบบไอที และปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบองค์รวม เพื่อสนับสนุนให้เคทีซีเติบโตยั่งยืน

“คนเราเงินเดือนขึ้นทุกปีเฉลี่ย 5-6% ถ้าเราไม่สามารถเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ 5% ให้ได้ กำไรก็ไม่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกันหากเราไม่ปรับเลี่ยนวิถีชีวิตหรือความคิดลูกค้า ไม่มีกระบวนการลดความซับซ้อน ไม่มีกระบวนการอำนวยความสะดวก ไม่มีทางที่มาร์เก็ตแชร์จะเพิ่มได้” ระเฑียร กล่าว

ในเรื่องของบุคลากร การจะได้คนที่ดีหรือการบริหารคนเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้องค์กรกำไรได้ จึงต้องมาดูเรื่องคนด้วยตัวเอง ทำอย่างไรเวลาลูกค้าโทรมาแล้วให้พนักงานรู้สึกว่าลูกค้าเป็นคนสำคัญ พยายามแก้ปัญหาให้ลูกค้า จึงต้องพัฒนาคนและจัดอบรมมากขึ้น

ขณะเดียวกัน หัวใจสำคัญในการทำธุรกิจรีเทล คือ ระบบไอที ซึ่งปัจจุบันระบบเปลี่ยนเร็ว จึงจำเป็นต้องเชื่อมต่อรวมไอที

ระเฑียร กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทจะเผชิญทั้งลมต้าน (Headwind) และลมหนุน (Tailwind) โดยลมต้านคือสิ่งที่ทำให้บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น อย่างการเก็บค่าธรรมเนียมติดตามทวงหนี้จาก 250 บาท เหลือ 100 บาท ซึ่งทำให้รายได้หายไปส่วนหนึ่ง รวมถึงเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยดีนักและการใช้งบการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า ส่วนลมหนุนคือการเติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรมของเคทีซี ดังนั้นหากอุตสาหกรรมเริ่มขยายตัวก็จะมีกำไรเพิ่ม ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำกว่าอุตสาหกรรม

“โจทย์เคทีซีวันนี้ ไม่ใช่โจทย์เมื่อ 3-4 ปีก่อนที่เราหนีตาย ต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด ซึ่งวันนี้เรามีกำไรอยู่ระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่พอใจกับสิ่งที่เป็น อยากเป็นที่หนึ่งแต่ไม่ง่าย เพราะเขาห่างกับเราถึงสองเท่า แต่ถ้าดูในแง่ของกำไร ผมว่ากำไรของเราอยู่ในอันดับไม่ต่ำกว่าที่สอง” ระเฑียร กล่าว

พร้อมกับมองว่าการที่เคทีซีจะเติบโตด้วยกำไรไปเรื่อยๆ คนทั่วไปไม่ได้รู้อะไร มาร์เก็ตแชร์ต่างหากที่คิดว่ายังต่ำเกินไปหรือไม่ จึงต้องหันมาเพิ่มมาร์เก็ตแชร์และทำตามแผนกลยุทธ์ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้กลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2560

สำหรับนักลงทุนที่อาจกังวลใจกับเป้าหมายกำไรในปีหน้าที่ไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเหมือนที่ผ่านมา

“ผู้ลงทุนมีหลายกลุ่มและคิดต่างกัน ทุกครั้งที่ได้แถลงข่าวไม่เคยโกหกนักลงทุน ตอนไม่ดีก็บอกไม่ดี และเราก็ทำได้ดีกว่าสิ่งที่พูดเสมอ สิ่งที่จะทำก็บอกกับนักลงทุนและทุกคนว่าการจะทำสามอย่างไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ แต่อยู่ที่ว่าจะทำได้ดีในระดับไหน ความสำเร็จของเราขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายตัว ไม่ได้ที่ผมคนเดียว ต้องได้ทีมงานที่ช่วยได้จริง หรือทำให้เราบรรลุทั้งสามจุดนั้นได้”

สิ่งที่ทำในวันนี้ต้องทำให้บริษัทดีที่สุด และจะบาลานซ์ระหว่างคนสามกลุ่มเสมอ ทั้งผู้ถือหุ้น พนักงาน และผู้ถือบัตรเคทีซี ซึ่งพอใจที่ผู้บริหารมองระยะยาวของหุ้น ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนต้องการบริษัทในระยะยาวหรือบริษัทในระยะสั้น

กลยุทธ์ของเคทีซี “ตอบโจทย์ผู้ถือหุ้น ไม่ใช่ตอบโจทย์นักเล่นหุ้น” อยากให้มองในระยะยาว เพราะสิ่งที่ทำมุ่งหวังให้เคทีซีเติบโตอย่างยั่งยืน

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์