posttoday

‘เอ บอนเน่’ แบรนด์ไทย สู่สากล

15 กันยายน 2558

โดย...เบ็ญจวรรณ รัตนวิจิตร

โดย...เบ็ญจวรรณ รัตนวิจิตร

“เอ บอนเน่” แบรนด์ผลิตภัณฑ์กลุ่มบำรุงผิวสัญชาติไทย ที่ตลาดในประเทศ คนยังรู้จักน้อย แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในอาเซียน รวมทั้งตะวันออกกลาง และอีก 15 ประเทศ เร็วๆ นี้จะปักธงในจีนและอินเดีย ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ใส่ใจ ในการต่อสู้กับปัญหา อุปสรรคต่างๆ จนได้รับรางวัลซูเปอร์แบรนด์ 3 ปีซ้อนในฟิลิปปินส์ และได้รับรางวัลผู้ส่งออกดีเด่น ประจำปี 2558 หรือ Prime Minister’s Export Award 2015

สุเมธ งามเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ พลัส ซัพพลาย ผู้ผลิตเกลือสปาขัดผิวสูตรน้ำนม ภายใต้แบรนด์ “เอ บอนเน่” เล่าว่า เริ่มธุรกิจเอ บอนเน่ ตั้งแต่ปี 2542 เพราะเห็นโอกาสจากการเป็นพนักงานในโรงงานผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ดังๆ จากต่างประเทศ ทำให้เห็นกระบวนการผลิต การทำตลาดในระดับโลก โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้างแบรนด์

ทั้งนี้ การตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอาง เพราะไทยเป็นฐานผลิตในภูมิภาคนี้ ประกอบกับเป็นธุรกิจที่ต้องแข่งขันด้วยนวัตกรรม นักธุรกิจหน้าใหม่มีโอกาสเข้ามาได้ หากสามารถสร้างความแตกต่างได้

“ผมเชื่อในเรื่องนวัตกรรม ทำสินค้าต้องสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในตลาด ช่วงที่ทำตลาดผลิตภัณฑ์เอ บอนเน่ ตลาดสปาเริ่มได้รับความนิยมในประเทศไทย แต่เราชูเรื่องสปา แอท โฮม ผสมระหว่างเกลือสปาขัดผิดกับครีมบำรุงผิวเป็นนวัตกรรมการอาบน้ำยุคใหม่” สุเมธ กล่าว

นอกจากการพัฒนานวัตกรรมแล้ว เอ พลัส ซัพพลาย ให้ความสำคัญกับการจดเครื่องหมายการค้า การสร้างแบรนด์ของตัวเอง และมองเรื่องการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนไปพร้อมๆ กัน เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคในภูมิภาคนี้มีความใกล้เคียงกัน โดยเริ่มจากเพื่อนบ้านของไทย ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา และลาว

อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ประสบความสำเร็จ คือ ฟิลิปปินส์ เพราะลูกค้าให้การตอบรับและยอมรับผลิตภัณฑ์เอ บอนเน่ เป็นสินค้านำเข้าที่มีคุณภาพสูง มีการบอกต่อ โดยเฉพาะการถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ จนทำให้ผลิตภัณฑ์เอ บอนเน่ ได้รับรางวัลซูเปอร์แบรนด์ในฟิลิปปินส์ถึง 3 ปีซ้อน ปัจจุบัน ตลาดฟิลิปปินส์มีมูลค่ายอดขายอันดับ 1 ในอาเซียน อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ตามด้วยไทยและอินโดนีเซีย

สุเมธ กล่าวว่า ปัญหา อุปสรรคสำคัญในการทำตลาดต่างประเทศ คือ การจดเครื่องหมายการค้า ซึ่งต้องดำเนินการจดทะเบียนในแต่ละประเทศ ที่มีความยากง่ายแตกต่างกัน บางประเทศใช้เวลาจดทะเบียนการค้านานถึง 3 ปี เพราะมีปัญหา คู่แข่งในตลาดมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ก่อน หรือมาจดตามหลัง แต่ทำผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน ทำให้บริษัทต้องดำเนินการฟ้องร้อง กว่าจะสามารถนำผลิตภัณฑ์ไปวางจำหน่ายได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ตั้งแต่หลักแสนถึงเกือบหลักล้านบาทก็มี

“ปัญหาเรื่องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าถือเป็นเกมที่ค่อนข้างโหดสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เริ่มต้นขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศต่างๆ ซึ่งอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเจรจาเรื่องเครื่องหมายการค้าให้สามารถใช้ได้ทุกประเทศในภูมิภาค เพราะเรื่องนี้เป็นประตูแรกในการบุกตลาด” สุเมธ กล่าว

นอกจากนี้ การทำตลาดในแต่ละประเทศ การหาพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายและการศึกษาตลาด เป็นเรื่องสำคัญ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ เพราะแม้ผู้บริโภคจะมีความต้องการเหมือนกัน แต่การใช้ต่างกัน เช่น ในเวียดนาม ชอบผลิตภัณฑ์ในรูปแบบกระปุกมากกว่าขวด เป็นต้น ขณะที่ตลาดจีนและอินเดียที่เริ่มต้นบุกตลาดพร้อมๆ กับอาเซียน แต่ยังไม่สามารถจดทะเบียนการค้าได้ แต่บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะบุกตลาดต่อไป โดยเชื่อมั่นว่าจะได้พันธมิตรและสามารถจดทะเบียนการค้าเพื่อทำตลาดได้ในเร็วๆ นี้ และคาดว่าจะบุกตลาดเกาหลีได้ในปี 2559

สุเมธ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนต่อไปของเอ บอนเน่ คือ มุ่งสร้างแบรนด์สินค้าอย่างยั่งยืน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เอ บอนเน่จำหน่ายสินค้าไปใน 15 ประเทศ ทั้งอาเซียน ตะวันออกกลาง และแอฟริกา แต่ปัญหา คือ ภาพของสินค้าในการรับรู้ของผู้บริโภคยังไม่ชัดเจน บริษัทจึงวางมาสเตอร์ แพลนในการสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์เอ บอนเน่ ให้เหมือนกันทุกประเทศ โดยจะเข้าไปจัดกิจกรรมร่วมกับคู่ค้า สร้างเครื่องมือทางการตลาดที่จะเจาะเข้าไปในแต่ละประเทศ รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับ
ผู้บริโภคในแต่ละประเทศ

“หัวใจสำคัญในการทำตลาดในแต่ละประเทศ หรือโลคัลไลเซชั่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละตลาด มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”

ขณะเดียวกัน การทำตลาดในประเทศเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน โดยปีนี้บริษัทจะมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายในร้านค้าสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดมากขึ้น โดยขณะนี้ผลิตภัณฑ์เอ บอนเน่ ได้วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น รวม 2,000 สาขาทั่วประเทศ และกำลังเจรจากับบิ๊กซีและท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตต่อไป และอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยในการเจรจาหาพื้นที่สำหรับเอสเอ็มอีด้วย เพราะจะเป็นช่องทางหนึ่งในการทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าเอสเอ็มอีได้มากขึ้น

ปัจจุบันธุรกิจเอ บอนเน่มีมูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท วางเป้าหมายว่าอีก 2 ปี จะมีมูลค่า 500 ล้านบาท โดยเป็นตลาดส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 70% และในประเทศ 30% และจากนี้ นอกจากจะทำแบรนด์ตัวเองแล้ว และรับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศที่สนใจเข้ามาในธุรกิจเครื่องสำอาง โดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์ที่มี ช่วยสร้างแบรนด์ให้เกิดขึ้นในตลาดได้อีกมาก

ข่าวล่าสุด

คดีพลิก สหรัฐฯปลดล็อกขายชิปให้จีน แต่รัฐบาลจีนอาจไม่อยากซื้อ