เปิดช่องเซ็งลี้ทีวีดิจิทัล
ผ่านครึ่งแรกของปี 2558 สถานการณ์ธุรกิจทีวีดิจิทัลยังไม่ดีนัก จนเกิดกรณี “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ของช่องไทยทีวี
โดย...ทีมข่าวเศรษฐกิจภาครัฐ โพสต์ทูเดย์
ผ่านครึ่งแรกของปี 2558 สถานการณ์ธุรกิจทีวีดิจิทัลยังไม่ดีนัก จนเกิดกรณี “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ของช่องไทยทีวี ภายใต้การบริหารงานของ พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือ ติ๋ม ทีวีพูล ท่ามกลางความเป็นห่วงอนาคตของทีวีดิจิทัลในประเทศจะเหลือรอดสักกี่ราย
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงได้จัดประชุมชี้แจงและทำความเข้าใจในเรื่อง “การซื้อขายหุ้น เพิ่มทุน และแบ่งเวลาให้ผู้อื่นดำเนินรายการในการประกอบกิจการโทรทัศน์” ตามประกาศ กสทช. เรื่อง การกําหนด ลักษณะและมาตรการกํากับดูแลการควบรวมกิจการ การถือหุ้นไขว้และการครอบงํากิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์
เจตนารมณ์ของประกาศฉบับนี้เพื่อต้องการป้องกันการครอบงำกิจการสื่อ การครอบงำทางความคิด เศรษฐกิจและสังคม แต่อีกด้านหนึ่ง ประกาศฉบับนี้เปิดช่องให้ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยน แปลงโครงสร้างการถือหุ้น การเพิ่มทุน หรือถือหุ้นไขว้ได้โดยไม่ขัดกฎหมาย และไม่จำกัดสัดส่วนการถือหุ้น แต่ต้องส่งให้ กสทช.พิจารณาและเห็นชอบอนุมัติ
ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กรรมการ กสทช. และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า กฎหมายไม่ได้ห้ามการซื้อ ขาย เปลี่ยน แปลงการถือหุ้นในบริษัทผู้ได้รับในอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัล ที่มีการประมูลมาอย่างถูกต้อง เพียงแต่นักลงทุนรายใหม่ที่จะเข้ามาถือหุ้นในธุรกิจทีวีดิจิทัลนั้น ต้องมีคุณสมบัติไม่ขัดตามที่ กสทช.กำหนด
ขณะเดียวกัน ต้องไม่ขัดเกณฑ์การประมูลครั้งแรก คือ ผู้ประกอบการแต่ละรายจะมีช่องทีวีดิจิทัลได้ไม่เกิน 3 ช่อง และผู้ประกอบการที่ประมูลช่องเอชดี ห้ามถือหุ้นในช่องข่าว รวมทั้งห้ามผู้ที่ได้รับใบอนุญาตช่องข่าวอยู่แล้ว เข้าถือหุ้นเกิน 10% ในช่องข่าวอีกช่องหนึ่ง
หากพิจารณาจากเกณฑ์ดังกล่าวและจำนวนผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัลในขณะนี้ 24 ช่อง ดำเนินการโดย 17 บริษัท ยังสามารถควบรวมกิจการกันได้อีก ให้เหลือผู้ประกอบการอย่างน้อย 14 ราย โดยไม่ขัดกับหลักเกณฑ์
“การเปิดให้กลุ่มผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามาถือหุ้นในทีวีดิจิทัลได้นั้น เพราะผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลได้ช่องมาจากการประมูลอย่างถูกต้อง จึงสามารถหาผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามาตามกลไกการแข่งขันเสรี เจตนารมณ์ของกฎหมายที่ห้ามนำคลื่นไปขายต่อนั้น มาจากระบบเดิมของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ ที่ผู้ได้ช่องไม่ได้ประมูล แต่นำช่องไปขายต่อ หรือให้เอกชนเช่าช่วงดำเนินการ” ธวัชชัย กล่าว
สมบัติ ลีลาพตะ รักษาการรองเลขาธิการ กสทช. ภาคกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ และผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. จากการประมูลรวม 17 บริษัท รวม 24 ช่อง ถือเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช.ตามนิติบุคคลที่แจ้งไว้
ทั้งนี้ เมื่อนิติบุคคลดังกล่าวประกอบกิจการทีวีดิจิทัลไปแล้ว ต้องการเพิ่มทุนเพื่อขยายธุรกิจ สามารถทำได้ ด้วยการเพิ่มทุน หาผู้ลงทุนใหม่มาถือหุ้น หรือเป็นผู้ถือหุ้นรายเดิมเข้ามาถือหุ้นไว้ แต่หากเป็นรายใหม่เข้ามาถือหุ้น สามารถเข้ามาถือแบบไม่จำกัด แต่บริษัทดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัลต้องเป็นนิติบุคคลรายเดิม ถือเป็นผู้ได้รับ ใบอนุญาตจาก กสทช. และต้องแจ้งต่อ กสท.ทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ภายหลังเปลี่ยนผู้ถือหุ้นแล้ว 15 วัน
ส่วนกรณีที่ผู้เข้ามาถือหุ้นเป็นผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลอีกช่องหนึ่ง เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตด้วยกัน จะต้องแจ้งล่วงหน้าต่อ กสทช.เป็นระยะเวลา 60 วัน เพื่อให้ กสทช.พิจารณาว่าจะเข้าข่ายหลักเกณฑ์ครอบงำ ควบรวมกิจการ และการถือหุ้นไขว้ของ กสทช.หรือไม่ รวมถึงต้องปรับสัดส่วนการถือหุ้นให้ได้ตามเกณฑ์ หากถือเกิน เช่น เข้าไปถือช่องข่าวและช่องเด็กในสัดส่วนเกิน 10% ต้องปรับลดลงมาให้ไม่เกิน 10% เป็นต้น
ขณะที่ สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. และกรรมการ กสท. กล่าวว่า ผู้ประกอบทีวีดิจิทัลช่องใหม่สามารถมีกลุ่มนักลงทุนรายใหม่เข้ามาถือหุ้นได้ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้นต้องแจ้งมาที่ กสท.ทุกครั้ง โดยหลักเกณฑ์การเปิดให้ผู้อื่นมาเช่าเวลาในแต่ละช่องนั้น กำหนดให้เช่าเวลาสูงสุดได้ไม่เกิน 40% ของเวลาทั้งหมด
การประชุมชี้แจงครั้งนี้ ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลต่างสนใจสอบถามถึงความชัดเจนในการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นว่าสามารถขยายสัดส่วนได้สูงสุดเท่าใด พร้อมสนใจสอบถามว่าสามารถมีผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาถือได้ 100% หรือไม่ รวมถึงกรณีของไทยทีวี หากจะเปิดให้ผู้อื่นมาเช่าเวลา จะสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด
อัถต์ ปาลถวัลย์พงษ์ ทนายความ บริษัท ไทยทีวี กล่าวว่า หลังจากได้รับฟังในครั้งนี้แล้วจะนำแนวทางของ กสทช.ไปแจ้งต่อผู้บริหารไทยทีวี ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นได้ และขึ้นอยู่กับผู้บริหารบริษัทจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม การออกมาประชุมชี้แจงของ กสทช.ครั้งนี้ ถือเป็นมาตรการผ่อนคลายให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลได้มีทางออก และยืดลมหายใจให้กับช่องที่ยังมีปัญหาในการหารายได้จากโฆษณา ซึ่งขณะนี้แม้รายได้โฆษณาดิจิทัลจะดีขึ้น แต่รายได้ยังกระจุกอยู่กับช่องใหญ่เป็นหลัก ไม่แน่จากประกาศฉบับนี้ อาจเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าซื้อหุ้นในช่องเล็กเพิ่มอีกก็เป็นได้


