ความสำเร็จชั่วข้ามคืน ดังไว รวยเร็วดีไหม?
วันนี้ผมเจอรุ่นน้องหลายๆ คนท้อมาก ท้อกับงาน ท้อกับชีวิต เขาถามผมว่ามันมีทางออกไหมพี่?
วันนี้ผมเจอรุ่นน้องหลายๆ คนท้อมาก ท้อกับงาน ท้อกับชีวิต เขาถามผมว่ามันมีทางออกไหมพี่?
นั่นแหละผมก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง ...คือเมื่อประมาณเกือบ 7 ปีที่แล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งทำธุรกิจล้มเหลว เขาเอาเงินเก็บพ่อแม่ไปเจ๊งเละเทะ (หลอกเอาเงินพ่อแม่ไปขยายธุรกิจในต่างประเทศ อยากขยายเร็วๆ ก็ไม่สนอะไร อยากรวยเร็วๆ)
พอธุรกิจมันไปไม่รอด ไอ้หนุ่มคนนั้นมันโคตรเครียดเลย เพราะไหนจะต้องรับผิดชอบกับธุรกิจรอบด้านที่ห่วย ค่าแรงก็ต้องจ่าย ร้านก็ขายไม่ดี เสือกเปิดหลายสาขา แล้วที่สำคัญเงินพ่อแม่ มันเสียไม่ได้
...ตอนนั้นชายหนุ่มคนนั้นถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตาย แม่งมืดแปดด้าน (ใครจะช่วยๆ เพราะมีแต่คนพึ่ง ลูกน้องอีก ธนาคารอีก “เมื่อไหร่มึงจะจ่าย” เจ้าของตึก Supplier)
ตอนนั้นมีคนช่วยนะแต่ช่วยซ้ำ คือ โดนหลอกเพิ่ม แนวกรรมซ้ำกรรมซ้อน
ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ ไอ้หนุ่มคนนั้นน่ะผมเอง!!! ...ตอนนั้นน่ะโคตรอ่อนโลกเลย นึกว่าชีวิตมันง่ายเหมือนตอนสมัยเรียนหนังสือ ...ตั้งใจก็สอบได้เกรดดี ...เฮ้ย!! ชีวิตจริงมันซับซ้อนกว่านั้น มันต้องรู้วิธีด้วย เพราะตั้งใจอย่างเดียวไม่รอด เพราะอย่างเก่งก็เป็นแค่แรงงานชั้นดี (ค่าแรงต่ำ ไม่รอดอยู่ดี)
เวลานั้นผมได้บทเรียนอย่างหนึ่ง รู้เลยว่าชีวิตมันมี Cycle มันเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา พอมันแกว่งไปช่วงดี เราก็หลงระเริง แต่พอมันแกว่งมาช่วงแย่เราก็อยากจะให้ผ่านๆ ไป ก็ดิ้น แต่ดิ้นยังไงนาฬิกาก็มีจังหวะของมัน
...คุณต้องทน ต้องเรียนรู้ ไม่มีคนช่วยคุณหรอก มันมีสองทาง คือ คนส่วนใหญ่เขาก็ยอมแพ้ อีกทางก็คือ เรียนจากข้อผิดพลาดนั่นแหละ เพราะจริงๆ แล้วปัญหาทุกอย่างเราสร้างจากช่วงหลงระเริงนั่นแหละ เราทำพังเอง เลิกโทษคนอื่น เลิกโทษดวง เพราะโทษอย่างอื่นเราจะไม่เคยเรียนรู้
สังเกตไหมเส้นแบ่งระหว่างคนเก่งกับคนทั่วไป ก็คือต้องดูเวลาเขาล้มเหลว คนเก่งทุกครั้งที่ล้มมันเก่งขึ้นทุกครั้ง ส่วนคนทั่วไปก็ล้มเหลวในเรื่องเดิมๆ เพราะไม่เรียนรู้ ไอ้ที่ไม่เรียนรู้เพราะมัวแต่โทษคนอื่น นั่นแหละเลยไม่เคยพัฒนาตัวเอง
7 ปีที่แล้วผมกลับมาเมืองไทย ไม่มีอะไรเลยมีแต่ความล้มเหลว กลับมาขอโทษพ่อแม่ที่ทำเงินท่านเสียไป ...ผมสัญญากับท่านผมจะทำคืนให้ ท่านบอกไม่เป็นไรลูก แค่ลูกกลับมาพ่อแม่ก็ดีใจแล้ว ...จุดนั้นผมสัญญากับตัวเองเลย กรูต้องสำเร็จให้ได้ กรูต้องยิ่งใหญ่ ด้วยตัวของกรูเอง ...กรูจะใช้ชีวิตทั้งชีวิต ทุ่มเท ให้มันรู้ไปว่าคนกระจอกอย่างกรู ก็สำเร็จได้!!!
ผ่านมาถึงปัจจุบัน ก็นี่ไง ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ...ภาพของคนหนุ่มที่สำเร็จไว ง่ายจริงๆ โชคดีจริงๆ (คือ ผมได้แนวคิดว่า เราไม่ต้องเทียบกับใคร ขอแค่เราดีที่สุดในจุดที่ยืน พอแล้ว!!)
แต่ลึกๆ แล้ว ผมก็รู้ว่าผมเดินมาที่จุดที่ผมยืนได้อย่างไรไม่มีคำว่าง่ายเลย ไม่มีคำว่าโชคดีเลย ทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นผล มีที่มาที่ไป
...แล้วทุกครั้งที่เอาแต่ละ Step มารวบรวม ผมก็เขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ เลย
...ผมรู้วิธีจะสร้างคนธรรมดาให้เป็นที่รู้จัก ว่าเราสร้างเองได้ ...ผมรู้วิธีการเปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นเซียนหุ้นได้ในไม่กี่ปี (มึงเอาจริงรึเปล่า) ผมรู้วิธีการเขียนหนังสือให้เป็น Best-Seller ทุกเล่มทำอย่างไร ...ผมรู้วิธีการเปิดบริษัทที่เสี่ยงต่ำ ใช้เงินน้อย แต่โอกาสทำกำไรสูง ...ผมรู้วิธีการเอาความรู้แลกเงินและก็รู้วิธีการพัฒนาความรู้แบบก้าวกระโดด
...จากนั้นผมก็มองไปรอบๆ ตัว หลายๆ คน ยิ่งยากกว่าผมอีก อย่างคุณตัน ยิ่งมาจากไม่มีอะไรเลย วันนี้เป็นหมื่นล้าน ...หรืออย่างอาจารย์เฉลิมชัย มาจากต่างจังหวัดไม่มีอะไรเลย วันนี้อาจารย์สร้างวัดร่องขุ่น ท้าทาย Artist ระดับโลก มันคือการสร้าง Legacy ที่เศรษฐีพันล้านยังทำไม่ได้เลย
...ลองคิดดู หลัง อ.เฉลิมชัย ตายไปแล้ว คนก็จะยกย่องว่าท่านสร้างสมบัติชิ้นนี้ให้ชาติ ตามหลักการ “ยิ่งให้
ยิ่งได้” ไง
อาจารย์บอกคนธรรมดาที่มันไม่รวย ไม่ยิ่งใหญ่ ก็เพราะมันไม่เคยคิดให้ ...ไม่เคยสร้างอะไรให้ใคร นอกจากตัวเอง พวกนี้รวยเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครชอบ ไม่มีใครยกย่อง ตายไปก็ไม่มีใครสนใจ
...แต่คนอย่างอาจารย์ที่สร้างสิ่งล้ำค่าให้ประเทศ ถ้าตีมูลค่ามันมากกว่า กว่าเงินเป็นพันล้าน
...อาจารย์บอกสุดท้ายกรูก็รวย เพราะเงินมันไหลมาเทมาพร้อมผลงาน พร้อมความดีที่สร้าง
...วันนี้อาจารย์เอากระดาษกับพู่กันมาวาดๆ ปั๊บได้แล้ว 10 ล้านบาท ...นี่ไง คนซื้ออะไร ...ไม่!! เขาไม่ได้ซื้อรูป แต่เขาซื้อ เฉลิมชัยไง!!
....คุณค่าของตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่เราเก็บกักเงินได้มากแค่ไหน แต่มันอยู่ที่ตัวตนของเราเอง ว่าสังคมให้ค่าเราเท่าไหร่ นั่นแหละ Wealth ที่แท้จริง!!
คนเราต้องสร้างที่คุณค่าของตัวเรา ...พอตัวเรามีค่า มีปัญญา มีผลงาน มีความอดทน เข้าใจหลักการ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ...สุดท้ายโอกาส เงินทอง ความรวย มันวิ่งเข้ามาเอง ...“เริ่มที่ตัวไง มึงไปสู้ไป ไปสู้” ...555 ...ฮาสุดๆ


