พลังงานกับความยั่งยืน
สัปดาห์นี้ผมได้รับเชิญเข้าร่วมงานด้านพลังงานที่สำคัญถึงสองงาน คือ งานของกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Fellowship of Energy Reform for Sustainability) หรือกลุ่ม EAS และงานของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พพ.
สัปดาห์นี้ผมได้รับเชิญเข้าร่วมงานด้านพลังงานที่สำคัญถึงสองงาน คือ งานของกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Fellowship of Energy Reform for Sustainability) หรือกลุ่ม EAS และงานของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พพ.
กลุ่ม EPS ได้รวมพลังผู้รู้ด้านพลังงานเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และผลักดันการปฏิรูปพลังงานเพื่อความเป็นธรรม ควบคุมการแทรกแซงทางโครงสร้างราคา มุ่งหวังการปฏิรูปพลังงานด้านอุปทาน (Supply) ขณะที่ พพ.สนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยมุ่งหวังการลดการใช้พลังงานด้านอุปสงค์ (Demand) แต่ก็มีเป้าหมายชัดเจน คือ ความยั่งยืนด้านพลังงานของประเทศไทย
ผมเชื่อว่าการจะทำให้สังคมยอมรับการปฏิรูปพลังงานเพื่อความอยู่รอดของชาติได้นั้น ต้องสร้างทั้งความเชื่อมั่นและความเชื่อใจ ซึ่งที่ผ่านมาอาจยังไม่เกิดขึ้น ความเชื่อมั่น คือ ต้องเชื่อมั่นในข้อมูลที่เป็นจริง ซึ่งกลุ่ม ERS กำลังผลักดันให้เกิดสำนักงานสารสนเทศพลังงาน ให้เป็นศูนย์ข้อมูลด้านพลังงานของประเทศ ที่ประชาชนเข้าถึงความรู้ ทำให้เกิดความเข้าใจด้านพลังงานอย่างถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่นในข้อมูล ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
ด้านความเชื่อใจคงต้องใช้เวลา และสร้างได้ยากกว่าความเชื่อมั่น การต่อต้านนโยบายด้านพลังงานที่ผ่านมามักมีต้นตอจากความไม่เชื่อใจในภาครัฐและในกลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน ดังนั้นรัฐต้องสร้างระบบธรรมาภิบาล สร้างโอกาสที่เท่าเทียมในธุรกิจพลังงาน และผู้ใช้พลังงานทุกกลุ่ม
ขณะที่สังคมจะมุ่งให้ความสนใจเรื่องราคาขายปลีกน้ำมัน ราคาก๊าซหุงต้ม LPG เพราะอาจเป็นเรื่องใกล้ตัวกระทบเงินในกระเป๋า หรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Rooftop) ที่เป็นเทรนด์ใหม่ที่จะทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นผู้ขายพลังงานได้ หรือแม้แต่การไม่เชื่อใจ เรื่องการให้สัมปทานกลุ่มสำรวจก๊าซรอบที่ 21 เลยไม่ค่อยได้มองเรื่องความยั่งยืนในระยะยาว
คำว่า “ยั่งยืน” มิได้หมายถึงความเป็นธรรม หรือการมีพลังงานทดแทนเท่านั้น แต่ผมเห็นว่าความยั่งยืนคือการที่ไทยอยู่ได้ด้วยตนเองทางพลังงาน ลดการพึ่งพาจากภายนอกทั้งทรัพยากรและเทคโนโลยี เพราะว่าอีก 30 ปี พลังงานของโลกอาจไม่ใช่น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ อาจเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานคลื่น พลังงานจากความร้อนจากแกนโลก พลังงานไฮโดรเจน เรื่องขัดแย้งกันในวันนี้อาจไม่ใช่ปัญหาสำคัญในวันข้างหน้า
ประเทศเยอรมนีมุ่งใช้พลังงานสะอาด ปัจจุบันใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์เกือบ 40% ของพลังงานทั้งหมด และจะเป็น 80% ในอนาคต เพราะรัฐสนับสนุนงานวิจัยและอุตสาหกรรมแผงโซลาร์เซลล์และกังหันไฟฟ้า และตอนนี้เป็นประเทศผู้ส่งออกหลักด้านเทคโนโลยีนี้ไปแล้ว
ขณะที่เกาหลีใต้ไม่มีทรัพยากรด้านพลังงานใดๆ เลย จึงมุ่งพึ่งพาตนเองทางพลังงานนิวเคลียร์ จนมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 23 แห่งและกำลังสร้างเพิ่ม มีการวางรากฐานอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมงานวิจัยกับมหาวิทยาลัยทางด้านนี้ จนปัจจุบันเป็นพลังงานหลักของชาติ และยังส่งออกเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปยังประเทศอื่น เช่น เวียดนาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือแม้แต่ฟินแลนด์
เราจึงต้องเตรียมพร้อมด้านการสร้างคน และสร้างเทคโนโลยีของเราเอง แม้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าไม่มีก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ก็ยังมีทางเลือกอื่นที่เราทำได้เอง ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องนำเข้า อย่างนี้ถึงจะเรียกได้ว่า เรามีความยั่งยืนทางพลังงาน


