ภาคบริการ...แรงขับเคลื่อนใหม่ ของระบบเศรษฐกิจไทย?
โดย...วินัสยา สุริยาธานินทร์
โดย...วินัสยา สุริยาธานินทร์
ในปัจจุบันเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคเอกชนที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ การส่งออกสินค้าที่หดตัว 2 ปีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีเพียงการส่งออกบริการ ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้จะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 17 ของ GDP แต่กลับทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์สำรองที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ประคองตัวต่อไปได้ แต่ก็ยังคงมีคาถามว่า ในระยะยาวภาคบริการของไทยมีศักยภาพพอที่จะเป็นเครื่องยนต์หลักให้กับเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่
หากมองด้านอุปทาน ภาคบริการของไทยเพิ่มบทบาทต่อเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2557 ภาคบริการมีสัดส่วนร้อยละ 52 ของ GDP และมีการจ้างงานสูงถึงร้อยละ 49 ของการจ้างงานรวม อย่างไรก็ตาม ไทยยังไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนภาคบริการต่อ GDP ให้อยู่ในระดับสูงเทียบเคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่ใช้ภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของระบบเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่มีสัดส่วนของภาคบริการสูงถึงร้อยละ 70-80 ของ GDP และมีสัดส่วนการจ้างงานสูง ประมาณร้อยละ 70 ของการจ้างงาน
นอกจากนี้ บางประเทศที่อยู่รอบๆ ไทย เช่น จีน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ สามารถเพิ่มสัดส่วนภาคบริการต่อ GDP ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ของไทยทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 50 ของ GDP มาเป็นเวลานาน ในทางกลับกันสัดส่วนการจ้างงานในภาคบริการของไทยกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถสร้างผลผลิตให้แก่ภาคบริการได้มากเท่าที่ควร หรือผลิตภาพแรงงานในภาคบริการของไทยยังอยู่ในระดับต่ำนั่นเอง ส่วนหนึ่งมาจากการปกป้องภาคบริการของไทย กล่าวคือ ประเทศในเอเชียรวมถึงไทยมีกฎระเบียบและนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในภาคบริการค่อนข้างมาก
สะท้อนจากข้อมูลดัชนีข้อจำกัดการประกอบกิจการภาคบริการของ World Bank ที่สำรวจบริษัทเอกชนและหน่วยงานราชการด้านกฎหมายการลงทุนและการดำเนินธุรกิจภาคบริการจาก 103 ประเทศทั่วโลก ข้อมูลล่าสุดปี 2555 พบว่า ไทยมีค่าดัชนีอยู่อันดับที่ 74 ซึ่งเกือบเป็นอันดับสุดท้ายบ่งชี้ว่า ไทยมีข้อจำกัดในการเข้ามาดำเนินธุรกิจภาคบริการของผู้ประกอบการรายใหม่ค่อนข้างสูง ทำให้สัดส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ และการไหลเข้าของทุนและเทคโนโลยีมีจำกัด จึงไม่สามารถยกระดับประสิทธิภาพภาคบริการและผลิตภาพแรงงานได้ นอกจากนี้ คุณภาพแรงงานไทยในภาคบริการยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนใหญ่จบการศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษาและมีจุดอ่อนสำคัญ คือ ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ความรู้ด้าน IT และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลิตภาพแรงงานไทย
ด้วยเหตุนี้ภาคบริการของไทยส่วนใหญ่ จึงเป็นบริการแบบดั้งเดิม (Traditional Services) ไม่เน้นการใช้เทคโนโลยีแต่ใช้แรงงาน เช่น ค้าส่ง-ค้าปลีก โรงแรมและร้านอาหาร และสาขาการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งเป็นบริการที่ไม่ค่อยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจมากนัก สังเกตได้จากสาขาค้าส่ง-ค้าปลีกที่มีสัดส่วนสูงสุดใน GDP ภาคบริการ แต่มีอัตราการขยายตัวต่ำ ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สาขาบริการส่วนใหญ่จะเป็น Modern Services เน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและทักษะแรงงานขั้นสูง เช่น การเงินการธนาคาร ลิขสิทธิ์ทางปัญญา และบริการด้าน IT จึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคบริการได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ไทยมีการส่งออกบริการที่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในภาคการท่องเที่ยว การจะหวังพึ่งพิงภาคการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวในระยะยาวอาจไม่สามารถทำได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านอุปทาน ได้แก่ ความเพียงพอของสาธารณูปโภคต่างๆ
ดังนั้น การจะทำให้ภาคบริการของไทยเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและช่วยรองรับแรงกระแทกจากปัญหาวิกฤตต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน ภาครัฐจำเป็นต้องยกระดับภาคบริการของไทย
ให้ก้าวไปสู่ Modern Services มากยิ่งขึ้น โดยเริ่มเห็นสัญญาณการยกระดับจากแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของ BOI ที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ธุรกิจประเภทบริการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ และกิจการ Cloud Service เป็นต้น นอกจากนี้ ควรใช้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวที่ไทยมีความได้เปรียบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาภาคบริการในสาขาอื่นๆ เช่น การรักษาพยาบาล การขนส่งและโทรคมนาคม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และควรปรับปรุงกฎระเบียบการลงทุนบางประการใน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เช่น ลดการคุ้มครองธุรกิจบริการบางสาขา เพื่อลดอุปสรรคในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเอื้อต่อการแข่งขันและการพัฒนาเทคโนโลยี ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิรูประบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความรู้สูง และตรงตามความต้องการของตลาดยังคงเป็นหัวใจสาคัญที่สุดในการยกระดับภาคบริการของไทยให้มีศักยภาพอย่างยั่งยืน…


