หลักประกันของ การ Short Options
การเกิดสัญญา Options ในตลาด TFEX อาศัยกลไกการซื้อและขายเช่นเดียวกับสัญญาฟิวเจอร์สที่จะทำให้เกิดสถานะขึ้น ทั้งนี้ การใช้ Options Wizard เพื่อซื้อหรือ Long ออปชั่นนั้นเป็นด้านหนึ่งของการสร้างสัญญา โดยหากไม่มีคำสั่งขาย หรือ Short ออปชั่น รุ่นดังกล่าว ก็จะไม่เกิดการจับคู่ และไม่เกิดสัญญาขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนที่กำลังติดตามกลไกการซื้อขายและต้องการใช้งาน Options Wizard ดังนั้นในสัปดาห์นี้ คอลัมน์นัดพบ TFEX จะขอนำรายละเอียดเกี่ยวกับการขาย หรือ Short Options มาเล่าให้ฟังกันนะครับ
การเกิดสัญญา Options ในตลาด TFEX อาศัยกลไกการซื้อและขายเช่นเดียวกับสัญญาฟิวเจอร์สที่จะทำให้เกิดสถานะขึ้น ทั้งนี้ การใช้ Options Wizard เพื่อซื้อหรือ Long ออปชั่นนั้นเป็นด้านหนึ่งของการสร้างสัญญา โดยหากไม่มีคำสั่งขาย หรือ Short ออปชั่น รุ่นดังกล่าว ก็จะไม่เกิดการจับคู่ และไม่เกิดสัญญาขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนที่กำลังติดตามกลไกการซื้อขายและต้องการใช้งาน Options Wizard ดังนั้นในสัปดาห์นี้ คอลัมน์นัดพบ TFEX จะขอนำรายละเอียดเกี่ยวกับการขาย หรือ Short Options มาเล่าให้ฟังกันนะครับ
สัญญา Options เป็นสัญญามาตรฐานที่ตลาด TFEX กำหนดรูปแบบให้ผู้ลงทุนที่สนใจเข้ามาซื้อ หรือขายกันในตลาด โดยจะเกิดสัญญาก็ต่อเมื่อมีราคาซื้อจับคู่ได้กับราคาขายกลายเป็นสถานะของ Options นั้นๆ ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้ซื้อออปชั่น จะมีความแตกต่างจากการเป็นผู้ขายออปชั่น โดยผู้ซื้อออปชั่น ไม่ว่าจะเป็น Call หรือ Put จะต้องจ่ายซื้อสิทธิดังกล่าวให้แก่ผู้ขายตามระดับค่าพรีเมียมที่ตกลงจับคู่กันได้ ในขณะที่ผู้ขายจะได้รับค่าพรีเมียมดังกล่าวไป เพื่อแลกกับภาระที่ต้องทำตามสิทธิซื้อ หรือขาย ในอนาคต ตามประเภทของออปชั่น และราคาใช้สิทธิของออปชั่นที่ตกลงขายไว้นั้นเอง
จะเห็นได้ว่า การซื้อ หรือ Long ออปชั่นเป็นการจ่ายพรีเมียมเพื่อซื้อสิทธิ ซึ่งก็เหมือนการซื้อประกันที่หลังจากจ่ายเงินแล้วก็รอดูว่าในอนาคตจะได้ใช้สิทธิหรือไม่ หากซื้อ Call Options ไว้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องขาขึ้น เพราะสามารถใช้สิทธิซื้อ เมื่อ SET50 ขึ้นสูงกว่าระดับราคาใช้สิทธิที่ถืออยู่
ในขณะที่หากซื้อ Put Options ไว้ ก็เหมือนทำประกันขาลงไว้ โดยหาก SET50 ตกลงไปต่ำกว่าราคาใช้สิทธิก็สามารถใช้สิทธิขาย จึงเห็นได้ว่าการซื้อ หรือ Long ออปชั่นนั้นที่ไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด แต่หากพิจารณาในฟากของคู่กรณีที่เป็นผู้ขาย Options ไม่ว่าจะเป็น Call หรือ Put Options ก็ตาม โดยหลักมักจะเข้าใจว่าจะได้เงินค่าพรีเมียมที่ผู้ซื้อตกลงราคาไว้ แต่ในทางปฏิบัติจะมีการเรียกเก็บเงินหลักประกันไว้รองรับกรณีที่ SET50 เปลี่ยนแปลงไปในทางที่อาจทำให้เกิดการใช้สิทธิ
การวางหลักประกันของผู้ขาย หรือ Short Options จะมีการเรียกเก็บ Initial Margin (IM) หรือหลักประกันขั้นต้นที่ต้องมีก่อนที่จะส่งคำสั่งขาย Options และมีการกำหนดระดับ Maintenance Margin (MM) หรือหลักประกันขั้นต่ำ ของสถานะออปชั่นที่ผู้ลงทุนมีสถานะ Short อยู่ ซึ่งระดับของ Margin ของออปชั่นแต่ละ Series จะมีความแตกต่างไปตามอายุของสัญญา และราคาใช้สิทธิ ทั้งนี้ เนื่องจาก Options ที่มีอายุเท่ากันแต่มีระดับราคาใช้สิทธิต่างกันก็มีโอกาสที่จะถูกใช้สิทธิจากฟากผู้ถือที่แตกต่างกันไปด้วยทำให้หลักประกันที่จะต้องเรียกเก็บจากฟากผู้ขาย Options ย่อมมีค่าแตกต่างกัน อย่างเช่น ปัจจุบันดัชนี SET50 อยู่ที่ 1,010 จุด หลักประกันสำหรับการ Short Options รุ่น S50H15C1000 (Call Optionsที่ราคาใช้สิทธิ 1,000 จุด) จะมี IM อยู่ที่ 11,459 บาท
ต่อสัญญา
ในขณะที่การ Short Options รุ่น S50H15C1025 (Call Options ที่ราคาใช้สิทธิ 1,025 จุด) จะมี IM ที่ระดับ 8,133 บาทต่อสัญญา ทั้งนี้ เนื่องจาก Call Option รุ่นแรกที่มีราคาใช้สิทธิอยู่ที่ 1,000 จุดซึ่งต่ำกว่าราคาดัชนี SET50 ปัจจุบันย่อมมีความเสี่ยงที่จะถูกใช้สิทธิซื้อจากผู้ที่ถือ Options ดังกล่าวสูง ดังนั้นผู้ขาย Options นี้จึงจำเป็นต้องวางหลักประกันมากกว่าอีกสัญญาที่มีโอกาสโดนใช้สิทธิน้อยกว่า ทั้งนี้ ในแต่ละวัน SET50 Index มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การขยับขึ้นลงของดัชนีส่งผลโดยตรงต่อความเสี่ยงของการถูกใช้สิทธิ ดังนั้นอัตรา margin ของ Options จึงมีการเปลี่ยนแปลงแบบวันต่อวัน แตกต่างจากระดับหลักประกันของสัญญาฟิวเจอร์ส
นอกจากนี้ ทำให้แนวทางการพิจารณาความเพียงพอของเงินประกันสำหรับการขาย Options ก็แตกต่างจากการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สอีกด้วย
สำหรับสัญญาฟิวเจอร์สที่จะมีการเรียกเก็บหลักประกันทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จะมีการกำหนดอัตราหลักประกันไว้ชัดเจนและคงที่เป็นช่วงเวลาหนึ่งๆ จนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลง (ตามรอบที่สำนักหักบัญชีประกาศ) โดยในแต่ละวันจะพิจารณาความเพียงพอจากยอดเงินสุทธิจากกำไรขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงราคา ว่ายังมีมากกว่าระดับหลักประกันที่กำหนดหรือไม่ หากเงินประกันหลังหักกำไรขาดทุนแล้วมีไม่เพียงพอ ก็จะมีการเรียกหลักประกันเพิ่มเติมได้
แต่ในกรณีของออปชั่น ฟากผู้ขาย Options จะต้องวางหลักประกันไว้ตามระดับ IM ที่กำหนดของแต่ละ Series โดยเมื่อเวลาผ่านไป หากดัชนีมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งราคาพรีเมียมของออปชั่นมีการปรับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ระดับของเงินประกันมีการปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่หลักประกันที่ผู้ลงทุนเคยวางไว้ รวมกับค่าพรีเมียมที่มีจากการขาย Options ไว้ อาจไม่เพียงพอ โดยหากมีระดับต่ำกว่า MM ที่กำหนด ก็จะถูกเรียกหลักประกันเพิ่มเติมได้ ซึ่งผู้ที่สนใจจะขาย Options จะต้องเข้าใจกลไกการวางหลักประกันที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระดับหลักประกันทุกวัน แตกต่างไปจากเงื่อนไขที่ใช้อยู่ในการซื้อขายฟิวเจอร์ส นะครับ


