ชีวิตคู่พัง...เพราะตังค์หมด?
ก็ไม่ได้อยากจะใจร้ายทำลายบรรยากาศหวานชื่นในวันวาเลนไทน์หรอกนะ
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]
ก็ไม่ได้อยากจะใจร้ายทำลายบรรยากาศหวานชื่นในวันวาเลนไทน์หรอกนะ แต่บังเอิญไปเจองานวิจัยชิ้นหนึ่งของ เจฟฟรี่ ดิว มหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ที่สามารถทำนายโอกาสการหย่าร้างจากความถี่ในการทะเลาะกันเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ
เจฟฟรี่ สัมภาษณ์สามีภรรยาชาวอเมริกัน 2,900 คู่ จนพบความจริงที่ว่า ยิ่งเราทะเลาะกันเรื่องเงินบ่อยมากแค่ไหน ก็มีโอกาสที่จะเลิกกันได้มากขึ้นเท่านั้น
“คู่ไหนที่ทะเลาะกันหรือมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับเรื่องเงินสัปดาห์ละครั้ง มีโอกาสที่จะเลิกกันมากกว่าคู่ที่ทะเลาะกันแค่เดือนละครั้งถึง 30%” เจฟฟรี่ กล่าว
เช่นเดียวกับ แคโรลัน วอชเบิร์น และดาร์เลน คริสเตนเซ่น มหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์ (เช่นกัน) ศึกษาว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น แต่ก่อนที่จะค้นเจอว่า อะไรที่ทำให้คนทั้งคู่ครองรักครองเรือนกันไปตลอดรอดฝั่ง เธอทั้งคู่พบว่า “เงิน” เป็นเหตุผลหลักที่สร้างความขัดแย้งในครอบครัวได้
คู่ชีวิตในสหรัฐอเมริกา 39% บอกว่า เรื่องเงินประเด็นหลักที่ทำให้พวกเขาขัดแย้งกัน และอีก 54% บอกว่า เรื่องเงินไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งที่ทำให้พวกเขาทะเลาะกัน แต่มันเป็นเหตุผลอันดับสองต่างหาก
แล้วอะไรที่เป็นต้นเหตุให้คนรักกันต้องมาทะเลาะกันเรื่องเงิน... หวังว่าจะไม่ใช่ “ชีวิตคู่พัง เพราะสตางค์หมด”
เพราะในชีวิตรักที่ต้องมีเรื่องเงินๆ ทองๆ มาเกี่ยวข้องตั้งแต่วันที่เริ่มรักไปจนวันที่รักร้าง มีเหตุผลตั้งมากมายที่ทำให้เราทะเลาะกันเพราะเงิน
เรเน่ โมราด ในเว็บไซต์การบริหารเงินส่วนบุคคล moneytalksnews.com รวบรวมต้นเหตุการเงินที่อาจเป็นสาเหตุให้ชีวิตคู่พังได้ถึง 10 ข้อ
1.ไม่ค่อยได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องเงิน
แม้ว่าเราจะเป็นคู่กันแล้ว แต่เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ยากจะเปิดอกพูดคุยกัน และการไม่ได้พูดคุยกันให้มากพอ มันก็กลายเป็นต้นเหตุหนึ่งของความไม่เข้าใจกัน
ถ้าไม่ได้รู้สึกขัดข้องขุ่นใจอะไรก็คงไม่ได้ทำให้การเงินเป็นปัญหาใหญ่โตอะไร แต่ถ้ามีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ค่อยพอใจพฤติกรรมของคู่ชีวิตเราเท่าใดนัก แต่กลับไม่ได้คุยกัน ไม่กล้าจะแสดงความคิดเห็น ไม่ได้บอกว่าเราคิดหรือรู้สึกอย่างไร ความไม่พอใจจะถูกสะสมเอาไว้จนอึดอัด
เรเน่ บอกว่า การจัดสรรวันและเวลาสำหรับการพูดคุยกันเรื่องเงินให้เหมือนกับการประชุมทางธุรกิจ ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคู่ชีวิตบางคู่ แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับคู่ของเราก็ได้
เพราะฉะนั้น ค้นให้เจอวิธีการพูดคุยที่เหมาะกับเราทั้งคู่ ซึ่งเรเน่ บอกว่า “มันอาจจะไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะใช้เวลาพูดคุยกันเรื่องเงิน แต่คุณทั้งคู่จะขอบคุณตัวเองในภายหลัง”
2.คิดจะซื้อความรักด้วยเงิน
“เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับชีวิตรัก” แต่หลายคนก็ยังซื้อใจคนรักด้วยแก้วแหวน เงินทอง เพื่อหวังว่าจะทำให้ความรักสดใสซาบซ่า โดยไม่ได้ใส่ใจเรื่อง “จิตใจ” เลย
เรเน่ อ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยบริคแฮม ยัง สหรัฐอเมริกา ที่พบว่า คู่รักที่บอกว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต พวกเขามีความราบรื่นในชีวิตคู่มากกว่าคู่รักที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเงินแบบสุดโต่ง
เพราะฉะนั้น ยิ่งเราให้ความสำคัญกับเงิน เรื่องเงินก็จะกลายเป็นประเด็น
จำไว้เลยว่า เงินซื้อความรักไม่ได้ แต่ความเข้าใจและความคิดที่สอดคล้องกันทางการเงินต่างหาก ที่ช่วยลดความขัดแย้งทางการเงินลงและทำให้ชีวิตรักราบรื่น
3.ไม่สนใจพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ขัดแย้งกัน
ลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้าคนหนึ่งใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่สนใจเก็บออมเลยสักนิด ขณะที่อีกคนออกจะตระหนี่ถี่เหนียว แถมยังขยันเก็บออม ความรักของคนทั้งคู่จะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ถ้าเขาทั้งคู่ไม่คิดจะปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายให้มาอยู่ในแนวทางเดียวกัน
หรือไม่ก็คิดเล่นๆ ว่า ถ้าเราเป็นลูกๆ ในครอบครัวนี้จะปวดหัวสักแค่ไหน เวลาที่พ่อแม่สอนเรื่องการใช้เงิน เพราะพ่อบอกอย่าง แต่แม่ให้ทำอีกอย่าง
แต่ถ้านึกไม่ออกก็มีงานวิจัยในต่างประเทศจากหลากหลายมหาวิทยาลัยที่ได้ข้อสรุปออกมาเป็นแบบเดียวกัน คือ คู่ชีวิตที่มีพฤติกรรมการเงินเป็นไปในทิศทางเดียวกันมักจะมีความสุขในชีวิตสมรสมากกว่าคู่ที่มีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน
“มีโอกาสถึง 45% ที่สามีภรรยาจะหย่ากัน ถ้าคนหนึ่งรู้สึกว่า คู่ของเขาใช้เงินแบบโง่ๆ และนั่นก็ทำให้ชีวิตครอบครัวไม่มีความสุข” อีกครั้งที่เรเน่อ้างถึงผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์
4.ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแยกกระเป๋าเงิน
เรเน่ บอกว่า ไม่ว่าเราจะจัดแบ่งกระเป๋าเงินสำหรับการใช้จ่ายในครอบครัวเป็นแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นแบบกระเป๋าเดียว หรือแยกกันคนละกระเป๋า หรือจะจัดให้เป็น 3 กระเป๋า คือ กระเป๋าฉัน กระเป๋าเธอ และกระเป๋าของเรา
ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย และบอกไม่ได้ด้วยว่า วิธีไหนจะดีกว่ากัน
เพราะไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ขอเพียงแค่เราทั้งคู่เห็นด้วยและยอมรับวิธีการแบบเดียวกัน
5.มีหนี้มากเกินไป
ในบรรดาปัญหาทางการเงิน คงไม่มีอะไรทำให้เครียดได้มากเท่ากับ “ปัญหาหนี้เกินตัว” เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกถ้าครอบครัวที่มีหนี้สินรุงรังจะมีโอกาสทะเลาะเบาะแว้งกันได้มากกว่าครอบครัวที่ไม่มีปัญหาหนี้
และสำหรับครอบครัวไทยก็ดูเหมือนว่า ระดับหนี้สินจะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยเมื่อปี 2557 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจพบว่า แต่ละครอบครัวจะมีหนี้สินเฉลี่ย 219,158.20 บาท ซึ่งถือว่าหนักที่สุดในรอบ 9 ปี แถมในจำนวนนี้ยังเป็นหนี้นอกระบบถึง 49.1%
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังช่วยตอกย้ำความเครียดให้เพิ่มขึ้นด้วยการคาดว่า ในปี 2558 นี้หนี้ครัวเรือนไทยยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก โดยปัญหาหนี้สินต่อรายได้ในระดับสูงมักกระจุกตัวในครอบครัวที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำและไม่แน่นอน
6.ซ่อนของที่ซื้อมา หรือซ่อนหนี้
อย่าหวังว่า ความรักที่อยู่บนพื้นฐานของ “ความไม่ซื่อสัตย์” จะอยู่ยั้งยืนยง และการแอบๆ ซ่อนๆ เรื่องเงินก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งในประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์
เคยไหมที่ต้องแอบๆ ซ่อนๆ เวลาซื้อของอะไรสักชิ้น หรือไม่เคยคิดจะซ่อน แต่ไม่บอกตามความจริง โดยอาจจะบอกว่า ไม่ได้ซื้อเอง หรือไม่บอกราคาจริง หรือต้องแอบเก็บใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตไม่ให้อีกคนหนึ่งรู้ เพราะกลัวว่าจะโดนบ่น กลัวว่าจะต้องทะเลาะกัน
แต่ “ความลับไม่มีในโลก” และเมื่อวันหนึ่งที่ความจริงถูกเปิดเผย มันจะกลายเป็นต้นเหตุให้รักร้าวได้
7.ให้ยืมหรือยืมเงินจากคนในครอบครัว
การยืมเงินหรือการให้คนในครอบครัวยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา ไม่ใช่เรื่องผิด แต่อาจจะพลาดได้ถ้าการยืมหรือให้ยืมครั้งนี้ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน
เคยได้ยินประโยคประมาณนี้ไหม “เงินที่พี่เธอยืมไปเมื่อไรจะเอามาคืน” หรือ “ป้าเธอมาทวงเงินที่เรายืมมาเมื่อเดือนก่อน” หรืออาจจะมีปัญหากันตั้งแต่ตอนที่คิดว่าจะให้ยืมก็ได้
เรารักกัน แต่เราก็อาจจะทะเลาะกันเพราะเรื่องแบบนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่ามันจะกระทบความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องก็ต้องคิดให้รอบคอบ และที่สำคัญต้องหารือกันในครอบครัวจะได้ไม่มาทะเลาะกันทีหลัง
8.แบ่งความรับผิดชอบทางการเงินแบบไม่เหมาะสม
ฝ่ายชายอาจจะคิดว่า “เรื่องค่าใช้จ่ายเล็กน้อยในบ้านเธอรับผิดชอบไป แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ฉันจะจัดการเอง”
แต่วิธีการจัดแบ่งความรับผิดชอบแบบนี้อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกครอบครัว เพราะฝ่ายหญิงอาจจะคิดว่า “เราควรแบ่งความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านกันคนละครึ่งอย่างเท่าเทียม”
เพราะฉะนั้น ชีวิตคู่อาจจะเกิดรอยร้าวขึ้นได้ ถ้าจัดแบ่งความรับผิดชอบทางการเงิน โดยไม่ดูเรื่องความเหมาะสม และความพอใจของทั้งสองฝ่าย
9.ไม่ใส่ใจความพอใจเรื่องเงินของอีกฝ่าย
เรเน่ บอกว่า ถ้าเทียบกับความขัดแย้งกันในเรื่องอื่นๆ แล้ว ความขัดแย้งกันเรื่องเงินดูจะเป็นหัวข้อที่ “คืนดีกันยาก” และใช้เวลานานกว่าที่จะลบความขุ่นมัวในใจลงไปได้ (เผลอๆ อาจจะถูกขุดขึ้นมาเป็นหัวข้อทะเลาะกันได้อีกเรื่อยๆ ในอนาคต)
คงเพราะแบบนี้ถึงทำให้คู่ชีวิตจำนวนไม่น้อยหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกันเรื่องเงิน แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่มักจะ “โมโห” ถ้ารู้สึกว่าถูกก้าวก่ายเรื่องเงินและลุกลามกลายเป็นการทะเลาะกันอย่างรุนแรง
10.ไม่คิดจะใช้เงินเพื่อสร้างความสุขร่วมกัน
เงินไม่ได้เป็นต้นเหตุความขัดแย้งหรือความเครียดเสมอไป เพราะเงินก็เป็นที่มาของความสุขได้ (แม้ว่าเราจะเชื่อว่าเงินไม่สามารถซื้อความสุขได้ก็ตาม) และที่สำคัญที่สุด คือ ประสบการณ์ที่ดี ความทรงจำที่มีความสุขบางอย่าง ต้องใช้เงินซื้อหา เช่น การออกไปท่องเที่ยวด้วยกัน ไปทานข้าวด้วยกัน การส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดแต่จะประหยัดอดออม โดยไม่รู้จักสร้างความสุขก็อาจจะเป็นที่มาของความเครียดในครอบครัวก็ได้
ประสบการณ์ความสุขอาจจะไม่ได้ใช้เงินมากมาย แต่มันจะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตแต่งงาน และแน่นอนว่ามันจะประทับอยู่ในใจได้นานกว่าสิ่งของ
เพราะฉะนั้น วันวาเลนไทน์นี้ไม่ต้องจ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อของราคาแพง แต่ให้เวลากับการสร้างประสบการณ์ความสุข (ในแบบของเรา) น่าจะดีกว่า


