TSFC โฉมใหม่จิ๋วแต่เจ๋ง
8...พนิตศรณ์ หวังจงชัยชนะ
1ปีกับการทำงานในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) ของ
“นภาภรณ์ ลัญฉน์ดี” หลายต่อหลายอย่างเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นแผนการปรับโครงสร้างหนี้ โดยงวดก้อนสุดท้าย 1,600 ล้านบาท จะชำระหมดในเดือน มิ.ย.นี้ สอดคล้องกับจังหวะที่ “นภาภรณ์” นั่งในตำแหน่งเอ็มดี TSFC ครบ 1 ปีพอดี“
นภาภรณ์” กล่าวว่า เดือน มิ.ย.นี้ ครบ 1 ปีของการทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการ TSFC และสามารถดำเนินงานได้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่วางไว้ตามกำหนด โดยกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปคืนให้กับเจ้าหนี้สำหรับ 6 เดือนแรกของตำแหน่งเอ็มดี ซึ่งตรงกับช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ในระยะนั้น เวลาส่วนใหญ่ 34 เดือน หมดไปกับการสะสางปัญหาต่างๆ ทั้งการลดค่าใช้จ่าย การพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย
เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2553 จึงถึงเวลาของการเริ่มทำธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมๆ ไปกับการศึกษาธุรกิจใหม่อย่างเช่น การให้ยืมหุ้น (SBL) โดยการดำเนินธุรกิจในระยะแรกอาจติดขัดไปบ้าง เพราะต้องทบทวนการให้สินเชื่อทั้งหมด แต่ขณะนี้ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว และมีเวลากับการมุ่งมั่นกับธุรกิจมากขึ้น แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการขยายตัวแบบยั่งยืน
“
บริษัทจะยืนตามกติกาที่วางไว้ เป็นเรื่องที่ต้องระวังไม่เผลอทำอะไรที่เสีย ผู้บริหารทั้งหลายอยากได้ตัวเลขทางกำไรสวยๆ และเห็นบทเรียนมาแล้วทั้งสถาบันการเงินในต่างประเทศ ดังนั้นเราต้องไม่ลืมตัวว่าภารกิจหลักของเราคืออะไร แม้ว่าหลักการทำธุรกิจของบริษัทจะยึดหลักด้วยความระมัดระวัง แต่สามารถรุกได้หากมีความพร้อมและเห็นโอกาสเข้ามา” นภาภรณ์ กล่าวไม่เพียงแต่ธุรกิจจะไปได้ดี ในแง่ของฐานะการเงินของบริษัทดีขึ้นมาก โดยบริษัทมีเงินกองทุนประมาณ 1,000ล้านบาท เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้า แม้ว่าอันดับเครดิตของบริษัทในปัจจุบันจะยังอยู่ที่ระดับ BB ก็ตาม แต่เชื่อว่าหลังงบการเงินของบริษัทออกกลางปีนี้ พร้อมกับรอให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้ามาตรวจประจำปี ทริสเรทติ้ง ก็อาจมีการทบทวนอันดับเครดิตของ TSFC ได้
“
เราคงตอบแทนทริสฯ ไม่ได้ว่าอันดับจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่ก่อนหน้าที่บริษัทจะมีปัญหา เคยได้รับอันดับเครดิตสูงสุดระดับ A เพียงแต่การไต่อันดับขึ้นไปถึงจุดนั้นคงจะไม่ก้าวกระโดด อาจจะขึ้นไปที่ระดับ BBB ก่อน”อย่างไรก็ตาม ในแง่ขนาดของทุนขณะนี้อาจไม่เท่าเทียมกับทุนในอดีต แต่เชื่อมั่นว่าความแข็งแรงในเชิงโครงสร้างนั้นมีเต็มเปี่ยม เปรียบได้กับบ้านใหญ่กับบ้านเล็กหากถามว่า บ้านไหนแข็งแรงกว่ากัน คำตอบอาจเป็นมีความแข็งแรงเท่ากัน หรือบ้านหลังเล็กอาจแข็งแรงกว่าก็เป็นได้ เพียงต่างกันที่ขนาดเท่านั้น
ดังนั้น จึงอยากฝากไปยังผู้ลงทุน หรือแม้แต่เจ้าหนี้เองให้สบายใจได้ว่าบ้านหลังนี้ถึงแม้ว่าจะเล็กลง แต่คุณภาพแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นมั่นใจว่าศักยภาพของ TSFC สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 2 ปีข้างหน้าได้
“
นภาภรณ์” กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำให้มุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งให้กับ TSFC และผลักดันให้เข้าตลาดหุ้น เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ถือหุ้นทุกคน เพราะต้องเข้าใจว่าผู้ถือหุ้นหลายรายที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเข้ามาช่วยอุตสาหกรรมตลาดทุนในภาพรวม ทั้งที่ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อการลงทุน อย่างเช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนั้นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนับเป็นการเปิดทางออกให้กับผู้ถือหุ้นทุกรายในการลดสัดส่วนลง นั่นคือพันธกิจที่ได้รับมาตอนเข้ามาบริหารองค์กรแห่งนี้!!

