แก้ไขกฎหมายล้มละลายใหม่
ผมทราบมาว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายล้มละลายใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหนี้ในการขอรับชำระหนี้ ลดขั้นตอนการขอรับชำระหนี้ รวมทั้งเพิ่มโทษเกี่ยวกับกรณีลูกหนี้ล้มละลายทุจริต โดยมีสาระสำคัญดังนี้
ผมทราบมาว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายล้มละลายใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหนี้ในการขอรับชำระหนี้ ลดขั้นตอนการขอรับชำระหนี้ รวมทั้งเพิ่มโทษเกี่ยวกับกรณีลูกหนี้
ล้มละลายทุจริต โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.การเพิ่มสิทธิของเจ้าหนี้ในการยื่นคำขอชำระหนี้ ปัจจุบันกฎหมายกำหนดว่า หากเจ้าหนี้ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในวลาที่กำหนดคือ 2 เดือน จะหมดสิทธิได้รับชำระหนี้ กฎหมายจึงเปิดให้เจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าหนี้รายนั้นสามารถขอรับการชำระหนี้ได้
2.ปรับปรุงสิทธิของลูกหนี้ร่วมและผู้ค้ำประกันในการได้รับชำระหนี้
3.ลดขั้นตอนในการสั่งคำขอรับชำระหนี้ โดยให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถมีคำสั่งในคำขอรับชำระหนี้ได้ หากเจ้าหนี้และลูกหนี้คัดค้านสามารถร้องไปศาลได้ ทั้งนี้เพื่อลดขั้นตอนและปริมาณคดีในศาล
4.ปรับปรุงการยื่นคำขอประนอมหนี้ให้ชัดเจน เช่น
จะต้องกำหนดการลำดับการชำระหนี้ จำนวนเงินที่ขอประนอมหนี้ ต้องแสดงความสามารถในการปฏิบัติตามคำขอประนอมหนี้ กำหนดเวลาชำระหนี้ การจัดการกับทรัพย์ที่มีหลักประกันและผู้ค้ำประกัน
5.ปรับเปลี่ยนโทษทางอาญาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ลูกหนี้ซุกซ่อนทรัพย์หรือโยกย้ายทรัพย์จากเดิมมีโทษปรับ 100-1,000 บาท ก็เพิ่มปรับเป็น 1-2 แสนบาท ส่วนโทษจำคุกคงเดิมคือ 4 เดือน-2 ปี
ปัจจุบันพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 กำหนดวิธีการขอรับชำระหนี้ได้ในมาตรา 27 และมาตรา 91 กล่าวคือ การขอรับชำระหนี้เป็นขั้นตอนหลังจากลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องเป็นหนี้เงิน มีสิทธิขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้ ส่วนหนี้ที่ไม่ใช่เงิน ไม่อาจขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 ได้ แต่เจ้าหนี้ต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานปฏิบัติตามสัญญานั้นแทนลูกหนี้
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
มาตรา 22 เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือกระทำการที่จำเป็นให้กิจการลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไป
มาตรา 27 เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หรือเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้ว แต่คดียังอยู่ระหว่างพิจารณาก็ตาม
มาตรา 91 เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตาม ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกินสองเดือน
คำขอรับชำระหนี้นั้นต้องทำตามแบบพิมพ์ โดยมีบัญชีแสดงรายละเอียดหนี้สิน และข้อความระบุหลักฐานประกอบหนี้และทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดของลูกหนี้ที่ยึดไว้เป็นหลักประกันหรืออยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้
ต้องขอรับชำระหนี้ภายใน 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4667/2549
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ได้ก็แต่โดยการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27 และมาตรา 91
การขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามสัญญาแทนลูกหนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2509
มาตรา 22(1) ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่จะจัดการจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือกระทำการตามที่จำเป็นเพื่อให้กิจการที่ค้างอยู่เสร็จไป ดังนั้นผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามคำบังคับในคดีที่ผู้ร้องชนะความนั้นได้
หนี้ที่ขอรับชำระหนี้ได้ในคดีล้มละลายจะต้องเป็นหนี้เงินเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5785/2533
การที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้โดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคำขอที่มีที่ดินเป็นวัตถุแห่งหนี้ ไม่ใช่หนี้เงินแม้จะมีคำขอว่า หรือให้ใช้ราคา
เจ้าหนี้ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ดำเนินการบังคับตามสิทธิของตนเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
เจ้าหนี้จะอ้างว่าไม่ทราบว่ามีการประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2528
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายใน กำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 91 โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จะอ้างว่าไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโดยสุจริตหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้ โจทก์ทราบหาได้ไม่ เพราะจะเท่ากับเป็นการขยายระยะเวลา ตามมาตรา 91 ออกไปโดยไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ทำได้


