เจรจา GBC ศึกชายแดนไทย–กัมพูชา เงื่อนไขหลักหยุดยิง หรือไม่ลงนาม
พล.อ.นิพัทธ ชี้ไทยต้องชัดเจนบนโต๊ะ GBC หยุดยิงต้องเกิดจริง กัมพูชาต้องประกาศก่อน และร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด หากตกลงถ้อยคำไม่ได้ ไทยไม่จำเป็นต้องลดเงื่อนไขหรือถอยจากจุดยืน
KEY
POINTS
- ฝ่ายไทยเสนอ 3 เงื่อนไขเหล็กในการลงนามหยุดยิง คือ กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อน, การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด
- พล.อ.นิพัทธ ทองเล็ก เสนอว่าหากไม่สามารถตกลงในรายละเอียดได้ ไทยควรกล้าตัดสินใจ "ไม่ลงนาม" และให้กองทัพทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยต่อไป
- สถานการณ์ถูกมองว่าเป็น "สงครามที่ไม่ประกาศ" ซึ่งแม้ไทยจะมีความได้เปรียบทางทหาร แต่กำลังเผชิญภาวะโดดเดี่ยวทางการทูตจากปฏิบัติการข่าวสารของกัมพูชา
เหตุปะทะไทย-กัมพูชา สงครามที่ไม่ประกาศ แต่ปะทุเต็มรูปแบบ
มุมมองของ พลเอกนิพัทธ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เริ่มจากการตั้งโจทย์ใหญ่ที่ต่างจากการประเมินทั่วไป นั่นคือ แม้ในเชิงกฎหมายรัฐศาสตร์ ไทยยังไม่ได้ประกาศภาวะสงครามอย่างเป็นทางการ แต่หากมองจาก “หน้างานจริง” สถานการณ์ได้ก้าวข้ามเส้นของความขัดแย้งทางทหารไปแล้วโดยสมบูรณ์ นี่คือ ภาวะสงครามที่ไม่ได้ประกาศ (Undeclared War) ซึ่งรัฐไม่อาจปฏิเสธความจริงเชิงยุทธศาสตร์ได้
หลักฐานสำคัญคือการใช้อาวุธหนักในระดับสงคราม ทั้งจรวดหลายลำกล้อง BM-21 นับหมื่นลูก การเคลื่อนกำลังรบขนาดใหญ่ และผลกระทบต่อประชาชนพลเรือนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ชายแดนเกือบครึ่งล้านคน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า กลไกการทูตไม่สามารถทำหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์ได้อีกต่อไป จนกองทัพกลายเป็นเครื่องมือหลักของรัฐในการปกป้องอธิปไตย
ในสายตาอดีตเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร นี่ไม่ใช่แค่การปะทะประปราย แต่คือ “สงครามจำกัดรูปแบบ” ที่มีทั้งมิติการทหาร การเมือง และข้อมูลข่าวสารซ้อนทับกัน การประเมินสถานการณ์ผิดเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่เสียเปรียบในระยะยาว
ไทยชนะในสนามรบ แต่ยังไม่ชนะบนเวทีโลก
ในเชิงยุทธการ พล.อ.นิพัทธ ยอมรับอย่างชัดเจนว่า กองทัพไทยประสบความสำเร็จสูง สามารถจัดระเบียบและควบคุมพื้นที่ชายแดนกลับคืนมาได้แล้วราว 95% ความได้เปรียบนี้มาจากการทำงานประสานกันของทุกเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพอากาศที่โจมตีเป้าหมายทางทหารและคลังแสงของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะในสนามรบไม่ได้แปลว่าชนะในเกมการเมืองระหว่างประเทศ ไทยกำลังเผชิญภาวะ “โดดเดี่ยวทางการทูต” เมื่อมหาอำนาจหลายประเทศยังไม่แสดงท่าทีสนับสนุนอย่างชัดเจน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเดินเกม Information Operation (IO) ผ่านเครือข่ายล็อบบี้ยิสต์ ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยถูกบิดเบือนว่าเป็นฝ่ายเริ่มความรุนแรง
บทเรียนสำคัญคือ ไทยไม่อาจหวังพึ่งความเห็นใจจากนานาชาติได้เพียงอย่างเดียว พล.อ.นิพัทธ เสนอให้ปรับยุทธศาสตร์การสื่อสาร เลิก “ตัดพ้อเวทีโลก” และกลับมายืนบนหลัก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความเด็ดขาดทางนโยบายเป็นตัวนำ
โต๊ะ GBC กับเงื่อนไขเหล็ก 3 ประการ
การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จังหวัดจันทบุรี จึงถูกมองว่าเป็นสมรภูมิทางการเมืองไม่แพ้สนามรบ ฝ่ายไทยส่งสัญญาณชัดว่า การลงนามหยุดยิงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อกัมพูชายอมรับ 3 เงื่อนไขเหล็ก ได้แก่ ต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และต้องร่วมมือกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด
สาระสำคัญไม่ได้อยู่แค่การหยุดยิง แต่คือรายละเอียดของ ถ้อยคำ (Wording) ในเอกสาร หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ถ้อยคำคลุมเครือ อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ในอนาคต พล.อ.นิพัทธ เห็นว่า หากไม่สามารถตกลงรายละเอียดได้ ไทยควรกล้าตัดสินใจ “ไม่ลงนาม” และให้กองทัพทำหน้าที่ต่อไป
พลเอกนิพัทธ ทิ้งท้ายด้วยอุปมาเชิงยุทธศาสตร์จาก “สามก๊ก” ว่า เมื่อวิธีเดิมไม่พาไปถึงเป้าหมาย ก็ต้องเปลี่ยนวิธี แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย ในภาวะที่สงครามไร้กติกาตายตัว รัฐต้องใช้ทุกเครื่องมือเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างเฉียบขาด
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
แหล่งที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


