“ภูริภัทร เขียวบริบูรณ์” มาเสริมทัพ บลจ.เมย์แบงก์
“ภูริภัทร เขียวบริบูรณ์” วัย 42 ปี หัวหน้าฝ่ายการตลาดคนใหม่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมย์แบงก์ ที่เพิ่งย้ายมาจากฝ่ายการลงทุนและการตลาด บลจ.แอสเซท พลัส ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหม่และยากสุดตลอดชีวิตการทำงานมา 25 ปี เพราะต้องทำให้ บลจ.เมย์แบงก์ เป็นที่รู้จักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรีแบรนด์ หรือการขยายกองทุนเพิ่มขึ้น
“ภูริภัทร เขียวบริบูรณ์” วัย 42 ปี หัวหน้าฝ่ายการตลาดคนใหม่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมย์แบงก์ ที่เพิ่งย้ายมาจากฝ่ายการลงทุนและการตลาด บลจ.แอสเซท พลัส ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหม่และยากสุดตลอดชีวิตการทำงานมา 25 ปี เพราะต้องทำให้ บลจ.เมย์แบงก์ เป็นที่รู้จักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรีแบรนด์ หรือการขยายกองทุนเพิ่มขึ้น
สิ่งสำคัญคือ ต้องพยายามทำให้ บลจ.แห่งนี้เป็นตัวช่วยของผู้ลงทุนได้ใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยง กระจายการลงทุน เพราะการลงทุนที่ดีนั้นไม่ควรอยู่ในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเท่านั้น
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับทั้งระบบและบริหารคนอยู่ ซึ่งคาดว่าอีก 3 เดือนน่าจะเข้าที่ และอยู่ระหว่างอบรมให้พนักงานขาย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้เข้าใจเพื่ออธิบายให้กับผู้ลงทุนในงาน SET in the City ระหว่างวันที่ 20-23 พ.ย.นี้
ขณะที่ผ่านมาก็มีการปรับปรุงเว็บไซต์ พัฒนาการซื้อขายออนไลน์ รวมถึงการทำกิจกรรมเพื่อเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ล่าสุดได้เปิดตัวกองทุนอีทีเอฟ 4 กอง และต้นเดือน ธ.ค.ที่จะถึงนี้ จะมีอีก 1 กองใหม่เข้ามา ทำให้ขณะนี้มีกองใหม่เสนอขายปี 2557 ทั้งหมด 5 กอง จากเดิมทีอยู่เพียง 2 กองเท่านั้น
สำหรับแผนปีหน้าจะรุกหนักในการออกกองทุนโดยเน้นการลงทุนที่แตกต่างจากอุตสาหกรรม หลังจากที่มีข้อตกลงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่อนุมัติให้ขายกองทุนรวมที่ใดใน 3 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ แล้วก็สามารถเปิดขายได้หมด ทำให้บริษัทมีจุดแข็งตรงที่มีบริษัทแม่เป็นกลุ่มเมย์แบงก์ จึงทำให้มีความคล่องตัวในการเสนอขายได้มากกว่า
ภูริภัทร สนใจเรื่องการบริหารการเงินมาตั้งแต่ยังเด็กตามมารดา จึงเรียนมาทางสายนี้และคลุกคลีวงการนี้มาตลอด
เขาจบภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นก็ทำงานสายงานตลาดทุนมาตลอด
ระหว่างเรียนปี 3 เริ่มไปฝึกงานสถาบันวิจัยภัทร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ภัทรธนกิจ ทำให้เข้าใจทั้งการเก็บข้อมูล พบผู้บริหาร เข้าพบบริษัทจดทะเบียน การเขียนรายงาน และการวิเคราะห์
ในที่สุดก็ได้ทำงานที่ภัทรธนกิจ เพราะมีเป้าหมายว่าอยากทำงานที่สามารถให้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทได้
เมื่อเริ่มทำงานฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน ภัทร ดูแลเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สมัยนั้น และได้ทุนของภัทรไปเรียนต่อปริญญาโท การบริหารธุรกิจด้านการเงินและการตลาด The University of North Carolina at Chapel Hill
เมื่อกลับมาก็ย้ายไปอยู่ฝ่ายซื้อขายหลักทรัพย์ติดต่อลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก เพราะต้องเข้าใจว่าลูกค้าต่างชาติจะมีเวลาฟังข้อมูลเราเพียง 5 นาที ดังนั้นต้องทำอย่างไรที่จะรวบรวมประเด็นสำคัญทั้งหมดให้เข้าใจภายในเวลาจำกัด จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ฝ่ายตราสารหนี้ ประจวบกับเวลาวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้เขาได้อยู่ในยุคที่ตราสารหนี้เป็นพระเอกมาช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศ
ทำงานดังกล่าวได้ 17 ปี ก็เปลี่ยนมาอยู่ที่ บลจ.แอสเซท พลัส เพราะตั้งใจอยากเป็นผู้จัดการกองทุนและไปสอบใบผู้ประกอบวิชาชีพธุรกิจหลักทรัพย์ หรือ CISA แต่ก็มาอยู่ฝ่ายการตลาดเพื่อดูแลตัวแทนขายสถาบันพร้อมกับทำหน้าที่ในการอธิบายให้ตัวแทนขายในแต่ละสาขามีความเข้าใจในสินค้าของกองทุนมากขึ้น เพราะเป็นปัจจัยสำคัญเนื่องจากเป็น บลจ.ที่ไม่มีแม่เป็นธนาคารพาณิชย์
“ภัทรเสมือนเป็นโรงเรียนที่ให้ความรู้ทุกอย่าง เพราะได้ทำงานหลายฝ่ายงานมาก แอสเซท พลัส เหมือนที่ให้โอกาสอีกอย่าง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นวิทยากรแนะนำการลงทุน เกิดจากวันหนึ่งผู้จัดการกองทุนไม่ว่างจึงทำหน้าที่แทน และขยับมาเป็นผู้แนะนำการวางแผนทางการเงินให้กับพนักงาน บล.เอเซีย พลัส จนปัจจุบันเป็นวิทยากรให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI)” ภูริภัทร เล่า
หลักการทำงานของผู้ชายคนนี้คือ ต้องมีความรอบรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำ มีความกระตือรือร้น พร้อมกับต้องการวางเป้าหมายให้กับชีวิต รวมถึงอยากถ่ายทอดในสิ่งที่เรารู้แล้วให้คนอื่นได้รู้ว่าเรื่องการบริหารการเงินเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตคุณในอนาคตมาก
หนุ่มคนนี้หากมีเวลาว่างก็จะไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว เพื่อเรียนรู้เและชาร์จแบตก่อนจะกลับมาทำงาน ประเทศที่ชอบไปมักเป็นประเทศที่เป็นเมืองแห่งศิลปะสวยงาม


