ตีฆ้องรับบริษัทนอกเข้าหุ้นไทย
บอร์ดกลต.เห็นชอบนโยบายแล้วตลาดรอตีความกฎหมายก.ย.นี้
โพสต์ทูเดย์
— บอร์ด ก.ล.ต. เปิดนโยบายรับบริษัทต่างประเทศเข้าจดทะเบียนตลาดหุ้นไทย ตลท.รับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เห็นชอบนโยบายที่จะเปิดให้บริษัทต่างประเทศที่ไม่เคยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งใดมาก่อน สามารถออกและเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นแห่งแรก (Primary Listing) ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า การเปิดให้มีหุ้นของบริษัทต่างประเทศเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยจะทำให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น และทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่รู้จักและมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
สำหรับบริษัทที่น่าจะเข้ามาได้ก่อนอาจเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่ตั้งอยู่ในอินโดจีน เช่น โรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน หรือเป็นบริษัทที่มีคนไทยร่วมทุนเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป็นสัญญาณที่ดีจาก ก.ล.ต. ที่ให้การสนับสนุนบริษัทต่างชาติเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของเกณฑ์ดังกล่าวต้องรอให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายที่ตลาดหลักทรัพย์จ้างมาตีความกฎหมายและเปรียบเทียบเกณฑ์ของไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ให้ชัดเจนก่อน
“
ผลตีความน่าจะเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ แต่ให้คำตอบไม่ได้ว่าบริษัทที่เข้าไปลงทุนสร้างเขื่อนน้ำงึมใน สปป.ลาว จะเข้าตลาดหุ้นไทยทันปีนี้หรือไม่” นายวิเชฐ กล่าวรองผู้จัดการฯ กล่าวว่า ปี 2553 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ยังคงเป้าหมายเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทเข้าใหม่มูลค่า 1 แสนล้านบาท แม้ครึ่งปีแรกทำได้แล้วกว่า 8 หมื่นล้านบาทก็ตาม
นอกจากนี้ จะผลักดันให้บริษัทที่มีข้อติดขัดเข้าตลาดหุ้นให้ได้ภายในปีนี้ เช่น บริษัท ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป (CIMB) ของมาเลเซีย จากกำหนดเดิมต้องเข้าภายในเดือน มิ.ย.นี้
ปัจจุบันคณะกรมการ CIMB กำลังรอให้ฝ่ายกฎหมายตีความชัดเจนก่อนลงนามยื่นแบบเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิง) กับหน่วยงานไทย เพราะหากยื่นไฟลิงแล้วต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยทุกอย่าง และหาก CIMB ผ่านไปด้วยดี จะทำให้สายการบินแอร์เอเชียตัดสินใจเข้าตลาดหุ้นไทยด้วย
นอกจากนั้น ตลาดยังพยายามผลักดันบริษัท โรงกลั่นสตาร์ ปิโตรเลียม (SPRC) ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท และบริษัทลูกของธนาคารกรุงไทย คือ กรุงไทยแอ็กซ่า และกรุงไทยประกันภัย เข้าตลาดหุ้นให้ทันภายในปีนี้


