การเปรียบเทียบราคาของ Options
Options ที่ซื้อขายอยู่ในตลาด TFEX มีให้ผู้ลงทุนเลือกหลากหลายรุ่น โดยจะแตกต่างกันไปตามประเภทและรายละเอียดว่าเป็น Call หรือเป็น Put มีระดับราคาใช้สิทธิเท่าไหร่ รวมถึงมีอายุคงเหลือของแต่ละสัญญามากน้อยแค่ไหน ซึ่งแต่ละ Series ก็มีราคาหรือค่าพรีเมียมที่แตกต่างกันออกไปทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบว่าจะซื้อขาย Series ไหนดี ในสัปดาห์นี้ คอลัมน์นัดพบ TFEX ขอนำอีกแนวทางที่มีการใช้งาน เพื่อเปรียบเทียบราคา Options มาให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อขายกันนะครับ
Options ที่ซื้อขายอยู่ในตลาด TFEX มีให้ผู้ลงทุนเลือกหลากหลายรุ่น โดยจะแตกต่างกันไปตามประเภทและรายละเอียดว่าเป็น Call หรือเป็น Put มีระดับราคาใช้สิทธิเท่าไหร่ รวมถึงมีอายุคงเหลือของแต่ละสัญญามากน้อยแค่ไหน ซึ่งแต่ละ Series ก็มีราคาหรือค่าพรีเมียมที่แตกต่างกันออกไปทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบว่าจะซื้อขาย Series ไหนดี ในสัปดาห์นี้ คอลัมน์นัดพบ TFEX ขอนำอีกแนวทางที่มีการใช้งาน เพื่อเปรียบเทียบราคา Options มาให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อขายกันนะครับ
ในเบื้องต้นผู้ลงทุนสามารถติดตามราคาซื้อขายของ Options ได้จากค่าพรีเมียมที่มีการเสนอซื้อขายอยู่ในกระดานของ TFEX เนื่องจากเป็นราคาต้นทุนของผู้ซื้อ (Long) และเป็นรายรับของผู้ขาย (Short) เช่นเดียวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไป โดยอาจเปรียบเทียบราคาเสนอซื้อขายดังกล่าวกับค่าตามทฤษฎีของออปชั่นนั้นๆ ว่าถูกหรือแพงอย่างไร โดยสูตรที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในแวดวงการซื้อขาย Options คือ BlackScholes Formula เนื่องจากเป็นสูตรสำเร็จและสามารถคำนวณด้วยโปรแกรม Excel ที่มีการใช้งานกันอยู่แล้ว โดยตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณราคาพรีเมียมตามทฤษฎีภายใต้ BlackScholes Formula จะประกอบด้วย ราคาปัจจุบันของสินค้าอ้างอิงราคาใช้สิทธิที่ระบุในออปชั่นรุ่นดังกล่าว อายุคงเหลือสัญญาผลตอบแทนของการถือครองสินค้าอ้างอิงโดยตรงเช่น เงินปันผล ซึ่งที่ผู้ถือออปชั่นจะไม่ได้รับผลตอบแทนดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินและความผันผวนของราคาสินค้าอ้างอิง โดยสามารถใช้ได้ทั้งค่าที่เห็นในปัจจุบัน หรือค่าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระหว่างที่สัญญายังมีการซื้อขายอยู่ ลงไปในสูตรดังกล่าวเพื่อหาค่าพรีเมียมที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การใช้ BlackScholes Formula เพื่อหาราคาพรีเมียมที่เหมาะสมก็ยังมีประเด็นในทางปฏิบัติ เนื่องจากตัวแปรที่จะใส่ลงไปในสูตรอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ไม่คงที่ ทำให้ต้องคอยปรับค่าให้เหมาะสม อีกทั้งตัวแปรบางตัวไม่มีค่าเป็นทางการ หรือมีแนวทางการคำนวณหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีให้ค่าที่แตกต่างกันออกไป เช่น ค่าความผันผวนของสินค้าอ้างอิง เป็นต้น ดังนั้นภายใต้ความเห็นของผู้ลงทุน 2 คน ถึงแม้ทั้งคู่จะใช้ BlackScholes Formula เพื่อคำนวณหาค่าพรีเมียมของ Options Series เดียวกัน แต่หากมีการคาดการณ์เรื่องความผันผวนของสินค้าอ้างอิงแตกต่างกันก็จะได้ค่าพรีเมียมที่เป็นผลลัพธ์แตกต่างกัน ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงมีการเปรียบเทียบราคาของ Options ในทางอ้อม โดยจะดูจากระดับความผันผวนของสินค้าอ้างอิงที่เป็นตัวกำหนดค่าพรีเมียมคู่ที่พิจารณา หรือที่เรียกว่า Implied Volatility ซึ่งจะช่วยสะท้อนความแตกต่างว่าออปชั่นรุ่นนั้นๆ ถูก หรือแพงกว่ากันอย่างไร
ตัวอย่างเช่น SET50 Call Options ที่ราคาใช้สิทธิ 1,050 จุด มีค่า Premium ที่ 20 จุด ซึ่งสามารถคำนวณหา Implied Volatility ได้เท่ากับ 20% ส่วน SET50 Call Options ที่มีราคาใช้สิทธิ 1,075 จุด มีค่าพรีเมียมที่ 40 จุด และคำนวณค่า Implied Volatility ได้เท่ากับ 18% โดยออปชั่นทั้งคู่มีอายุคงเหลือเท่ากัน ดังนั้น SET50 index ที่ออปชั่นทั้งคู่พิจารณาอยู่เป็นดัชนี ณ จุดของเวลาเดียวกัน แต่ค่า Implied Volatility ที่ได้จากค่าพรีเมียมที่ซื้อขายของทั้งคู่กลับมีค่าแตกต่างกัน โดยจากตัวอย่างสะท้อนได้ว่าพรีเมียมของ Call Options ที่ราคาใช้สิทธิ 1,050 จุด มีระดับสูงกว่าพรีเมียมของ Options ที่ราคาใช้สิทธิที่ 40 จุด นั้นเอง
การดูราคา Options ผ่านค่าพรีเมียม และ Implied Volatilityเป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจก่อนเข้ามาซื้อขาย Options เพิ่มเติมจากทักษะในการคาดการณ์แนวโน้มของราคาของสินค้าอ้างอิงว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตอย่างไร รวมถึงเข้าใจความเสี่ยงของกลยุทธ์การซื้อขายแต่ละประเภทที่ท่านต้องการใช้งานอย่างถูกต้องโดยผู้สนใจดูรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขาย Options ได้ที่ www.tfex.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โบรกเกอร์ที่ท่านเปิดบัญชีอนุพันธ์กันอยู่นะครับ


