ราคาพันธบัตรไทยเพิ่มสูงขึ้นตามทิศพันธบัตรสหรัฐ
ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ในสัปดาห์นี้ (6-10 ต.ค.) มีมูลค่ารวม 378,588 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 75,718 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 11%
ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ในสัปดาห์นี้ (6-10 ต.ค.) มีมูลค่ารวม 378,588 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 75,718 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 11%
ทั้งนี้ เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้ว จะพบว่า กว่า 67% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 253,302 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 91,713 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 5,995 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ
สำหรับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ รุ่น LB196A (อายุ 4.7 ปี) LB176A (อายุ 2.7 ปี) และ LB236A (อายุ 8.7 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 28,118 ล้านบาท 17,548 ล้านบาท และ 11,897 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย คือ รุ่น CB15108E (อายุ 91 วัน) BOT177A (อายุ 2.8 ปี) และ CB15409B (อายุ 182 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 23,197 ล้านบาท 18,537 ล้านบาท และ 15,859 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ รุ่น BECL172A (A) มูลค่าการซื้อขาย 376 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) รุ่น ICBCTL175A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 355 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ไทยออยล์ รุ่น TOP273A (AA) มูลค่าการซื้อขาย 314 ล้านบาท
ราคาของพันธบัตรอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือผู้ซื้อจะได้ผลตอบแทน (Yield) ลดลง ประมาณ 0.030.09% ตามทิศทางของพันธบัตรสหรัฐ (US Treasury) ภายหลังการเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือน ก.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่แสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจหลักในต่างประเทศทั้งยุโรปและเอเชีย อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ สถานการณ์ดังกล่าวนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เฟดยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปในอนาคตอันใกล้ และทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ส่งผลให้มีแรงซื้อทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของสหรัฐ ส่งผลให้ราคาพันธบัตรสหรัฐ (US Treasury) เพิ่มขึ้น และมีส่วนทำให้ราคาของพันธบัตรไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้แล้ว การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตราสารหนี้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้น (อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้นและระยะยาว) รวมกัน 1,730 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 3,829 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 5,560 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 26 ล้านบาท


