พิมพ์เขียวฟื้นฟูรถไฟฯล้างขาดทุน-พลิกโฉมระบบราง
ความเสื่อมโทรมของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากเหตุการณ์รถไฟตกรางบ่อยครั้งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
โดย...วงศ์สุภัทร์ คงสวัสดิ์
ความเสื่อมโทรมของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากเหตุการณ์รถไฟตกรางบ่อยครั้งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซ้ำร้ายยังมีข่าวฉาวโฉ่ไม่ซ้ำ ในขณะที่ผลการขาดทุนสะสมพุ่งทะลุ 1 แสนล้านบาทไปแล้ว การฟื้นฟูกิจการจึงเป็นงานเร่งด่วน
แต่ก่อนเข้าสู่การทำแผนฟื้นฟูฯ จะพบว่า ปัจจุบัน รฟท.มีปัญหาเรื้อรัง 4 ข้อ คือ 1.ปัญหาการดำเนินงาน ที่พบว่าสภาพหัวรถจักรที่ใช้งานอยู่มีสภาพเก่า รางเก่าโครงข่ายทางเดี่ยวที่มีสภาพทรุดโทรม 2.การบริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะรายได้ที่มาจากการให้เช่าที่ดิน ซึ่งพบว่ามีรายได้เพียง 1,600 ล้านบาทเท่านั้น จากที่ดินที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ 36,302 ไร่
3.ระบบบัญชีไม่ได้รับการยอมรับ และ 4.ผลกระทบจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 ก.ค. 2541 ที่ให้ รฟท.ลดการรับพนักงานใหม่ ยกเว้นตำแหน่งที่เกี่ยวกับการเดินรถและตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิพิเศษ ส่งผลให้องค์กรขาดแคลนบุคลากรที่มีศักยภาพ
จากปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2556 รฟท.มีหนี้สินสะสม 109,317 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สินของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. (แอร์พอร์ตลิงค์) 33,229 ล้านบาท ที่เหลือเป็นหนี้สิน รฟท. 76,000 ล้านบาท และภาระดอกเบี้ยปีละ 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในแต่ละปี รฟท.ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอีก 1.9 หมื่นล้านบาท เช่น ค่าบำเหน็จบำนาญปีละ 3,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาทในอนาคต การขาดทุนจากให้บริการเชิงสังคม (พีเอสโอ) ปีละ 3,000-4,000 ล้านบาท ไม่รวมค่าบริการรถไฟฟรีปีละ 8,000-9,000 ล้านบาทต่อไป ที่ต้องเสนอขอรับการชดเชยจาก ครม. และค่าซ่อมบำรุงหัวรถจักรและระบบรางปีละ 3,000 ล้านบาท
จากความซับซ้อนของปัญหา ภาระหนี้สินสะสมของ รฟท.ที่มีจำนวนมหาศาล ตลอดจนความไม่มีประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร ส่งผลให้การจัดทำแผนฟื้นฟูของ รฟท.ค่อนข้างยุ่งยาก
ล่าสุด รฟท.ได้เสนอแผนฟื้นฟูฯ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้ว โดยมีแผนระยะสั้น คือ การจ่ายเงินชดเชยการขาดทุนที่ รฟท.ต้องแบกรับจากการให้บริการเชิงสังคม (พีเอสโอ) และเงินชดเชยรถไฟฟรี ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.1-1.3 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งเข้ามาช่วยเหลือในการจ่ายเงินบำนาญให้พนักงานที่เกษียณอายุปีละ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยนำรายได้ค่าที่ดินของ รฟท.บางส่วนไปลงทุนสร้างผลตอบแทนและนำมาจ่ายภาระส่วนนี้ในระยะยาว ซึ่งจะลดภาระการดำเนินงานในแต่ละปีของ รฟท.ได้อย่างมาก
“ตาม พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 ให้ความคุ้มครองผลการขาดทุนของการรถไฟฯ ซึ่งรัฐจะต้องชดเชยให้ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดถึง ทำให้รถไฟกลายเป็นผู้ร้ายเต็มตัว เพราะถูกละเลย ซึ่งหากรัฐชดเชยผลการขาดทุนให้ ตามที่กฎหมายกำหนดก็จะช่วยหักลบและลดภาระหนี้ได้ส่วนหนึ่ง”แหล่งข่าวจากฝ่ายบริหาร รฟท. ระบุ
สำหรับแผนระยะกลาง คือ การอนุมัติให้ รฟท.นำที่ดินที่มีศักยภาพมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เช่น บริเวณมักกะสัน สถานีแม่น้ำ กม.11 เป็นต้น โดยกระทรวงคมนาคมต้องเร่งนำเรื่องเสนอให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) พิจารณาโดยเร็ว และขณะนี้ รฟท.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษามาดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลทรัพย์สินของ รฟท.ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมทั้งวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ในขณะที่ความคาดหวังของ รฟท. คือ การสร้างรายได้ใหม่จากโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ 6 เส้นทาง คือ ชุมทางจิระขอนแก่น, ประจวบคีรีขันธ์ชุมพร, นครปฐมหัวหิน, มาบกะเบานครราชสีมา, ลพบุรีปากน้ำโพ และหัวหินประจวบคีรีขันธ์ ที่กำหนดเริ่มปี 2558-2563 ซึ่งกระบวนการทำงานหากเป็นไปตามกรอบเวลา จะทำให้รายได้ของ รฟท.เพิ่มขึ้น ตลอดจนลงทุนเพิ่มหัวรถจักร แคร่บรรทุกสินค้า ขบวนรถหรือเพิ่มตู้ลากจูงในการขนส่งสินค้าให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงการสร้างรายได้และลดภาระขาดทุนของ รฟท. แผนฟื้นฟูฯ ยังกำหนดมาตรการสร้างความปลอดภัยในการบริการของ รฟท.เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ของ รฟท.ให้กลับฟื้นคืนมา เช่น ปรับปรุงสถานีรถไฟให้เป็นสถานีปิด มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด รักษาความสะอาดภายในสถานี ฯลฯ ตลอดจนมีระบบอำนวยความสะดวกช่วยให้ผู้ใช้บริการปลอดภัย
จากปัญหาสะสมของ รฟท.หลายทศวรรษ หากยังไม่เร่งแก้ไข ไม่หยุดเลือด รฟท.คงไม่มีวันผงกหัวขึ้นมาเป็นหนึ่งหน่วยงานที่จะช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งได้แน่นอน


