ภาระที่ไม่ควรเป็นภาระ
หลายคนคงรู้สึกว่าภาระหน้าที่ในแต่ละวันมันเยอะมาก จนแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับทำในสิ่งที่ฝัน ในสิ่งที่อยากทำ และคนที่ภาระหน้าที่เยอะนั้นไม่ใช่เฉพาะคนที่ทำงานบริษัท หรือทำธุรกิจส่วนตัวเท่านั้นนะ ขนาดคนที่เป็นแม่บ้าน ผมเคยนั่งคุยด้วยก็ยังสามารถบรรยายภาระหน้าที่ของเธอได้มากมาย สรุปคนทุกประเภทมีภาระหน้าที่เยอะกันหมด จนไม่เหลือเวลาที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ไปท่องเที่ยว ใช้เวลากับคนที่เรารัก เป็นต้น
หลายคนคงรู้สึกว่าภาระหน้าที่ในแต่ละวันมันเยอะมาก จนแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับทำในสิ่งที่ฝัน ในสิ่งที่อยากทำ และคนที่ภาระหน้าที่เยอะนั้นไม่ใช่เฉพาะคนที่ทำงานบริษัท หรือทำธุรกิจส่วนตัวเท่านั้นนะ ขนาดคนที่เป็นแม่บ้าน ผมเคยนั่งคุยด้วยก็ยังสามารถบรรยายภาระหน้าที่ของเธอได้มากมาย สรุปคนทุกประเภทมีภาระหน้าที่เยอะกันหมด จนไม่เหลือเวลาที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ไปท่องเที่ยว ใช้เวลากับคนที่เรารัก เป็นต้น
ในชีวิตจริงของเราเต็มไปด้วยภาระหน้าที่ต่างๆ นานา ในที่ทำงานเราก็มีภาระหน้าที่หลายอย่าง เพราะนอกเหนือจากความรับผิดชอบหลักที่มีอยู่แล้วมากมาย ยังต้องไปเข้าร่วมกับอนุกรรมการอีกตั้งหลายชุด ต้องเข้าประชุมตลอด รับผิดชอบโครงการมากมาย ต้องเข้าร่วมสัมมนา ตลอดจนต้องออกไปเยี่ยมลูกค้าเพื่อรักษาความสัมพันธ์ สังสรรค์กับลูกค้า
นอกเหนือจากชีวิตเรื่องงานก็ยังมีภาระหน้าที่ในชีวิตส่วนตัวอีก ภาระหน้าที่ต่อครอบครัว รวมไปถึงงานอดิเรก กิจกรรมภายในบ้าน กิจกรรมในสังคมออนไลน์ งานพิเศษ กีฬา การออกกำลังกาย การเข้ากลุ่มทางสังคมต่างๆ สรุปคือเรามีภาระหน้าที่ที่ต้องครอบคลุมทุกด้านของชีวิต จนแทบไม่เหลือเวลาของตัวเอง ซึ่งมันจะทำให้เราเหนื่อยล้าไปตามกาลเวลาและสูญเสียพลังงานออกไปอย่างมาก
ภาระหน้าที่เหล่านั้นยิ่งนับวันแทนที่จะลดลง กลับดูเหมือนว่าจะค่อยๆ เพิ่มเข้ามาทีละนิด ทีละอย่างตามสถานภาพทางสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น แต่งงาน มีครอบครัว เป็นต้น เมื่อภาระหน้าที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะกลืนเวลาทั้งชีวิตของเราจนหมดไปในที่สุด ชีวิตส่วนตัวของเราก็จะไม่มีเวลาเหลือให้ทำอะไรเพื่อตัวเอง เรียกได้ว่า เราแทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตเสียที เชื่อหรือไม่ว่าทุกครั้งที่เรารับปากตามคำขอของใครบางคน แสดงว่าเรากำลังเอาตัวไปผูกติดกับภาระหน้าที่ที่จะกินเวลาบางส่วนของชีวิตเราไป
ถ้าอยากจะจัดการกับภาระเหล่านี้ หรือสิ่งที่เราแบกมันอยู่ทุกวันนี้ สิ่งแรกก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเราแบกอะไรอยู่ เพราะถ้าไม่รู้ว่าแบกอะไร ก็คงเลือกของที่จะเอาทิ้งไปไม่ถูก ดังนั้นเขียนมาให้หมด เขียนไว้เลยว่าเรามีภาระหน้าที่ต่างๆ ในชีวิตอะไรบ้าง งานที่ทำระบุมาให้หมด งานพิเศษ ครอบครัว (อาจรับบทบาทไม่เหมือนกัน เป็นพ่อ แม่ ภรรยา ลูก หรือบางคนอาจมีมากกว่าหนึ่งบทบาทคือ เป็นพ่อและเป็นลูกด้วย) งานอดิเรก บ้าน (นอกเหนืองานบ้านทั่วๆ ไป ก็ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายที่ต้องทำที่บ้าน) สังคมออนไลน์
หลังจากที่เราระบุภาระหน้าที่เราออกมาได้แล้ว ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่า ตัวตนเราคืออะไร เป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร ความฝันของเราคืออะไร แล้วก็มาดูภาระหน้าที่ไปทีละอย่างแล้วถามตัวเองว่า มันมีคุณค่าต่อชีวิตของเราไหม มีความสำคัญต่อเราอย่างไร สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตเราหรือไม่ เราก็พอจะมองเห็นว่าภาระหน้าที่ไหนที่ไม่สำคัญ ก็ต้องกำจัดทิ้งไป ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เหลือเวลา เหลือแรงกายแรงใจไปทำในสิ่งที่เรารัก ในสิ่งที่เราฝัน ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ
การกำจัดภาระหน้าที่ที่ไม่สำคัญกลับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะมันทำให้เรามีเวลามากขึ้น ลดความเครียด และที่สำคัญสุดคือทำให้เรามีเวลาทำในสิ่งที่สำคัญหรืออยากทำในชีวิต การกำจัดนั้นไม่ต้องทำทีเดียวทั้งหมด ให้เริ่มต้นทีละนิด ดูว่าภาระของเราในแต่วัน ภาระใดที่ให้ผลตอบแทนน้อยเมื่อเทียบกับเวลาและความพยายามที่เราทุ่มเทลงไป หรือภาระใดที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตเรา ลองตัดเรื่องนั้นออกไปสักเดือนหนึ่ง แล้วลองมาดูว่าเรายังคงดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขไหม
ภาระหน้าที่มากมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน มันไม่ได้ทะลักเข้ามาทีเดียวหรอกครับ แต่เป็นเพราะเราค่อยๆ รับมันเข้ามาในชีวิตต่างหาก ภาระหน้าที่จะเกิดขึ้นทันทีที่มีคนร้องขอมา แล้วเราตอบว่าได้ ดังนั้น “ต้องกล้าที่จะพูดว่าไม่” เพื่อหลีกเลี่ยงภาระใหม่ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาตลอดเวลาทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ทางโทรศัพท์ ทางสังคมออนไลน์ หลายคนอาจลำบากใจ เพราะรู้สึกว่าเราควรต้องรับปาก หนักใจที่จะปฏิเสธคนอื่น หรือหาเหตุผลดีๆ ที่จะปฏิเสธไม่ได้เวลามีคนร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อน ญาติ หรือเพื่อนร่วมงาน แต่หากเรามาคิดดูดีๆ เหตุผลเดียวที่ดี และเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเราก็คือ “เวลาของเราเป็นสิ่งล้ำค่าและมีอยู่อย่างจำกัด” บางครั้งเราอาจคิดว่าไม่เห็นเยอะอะไรเลย แค่ชั่วโมงเดียว ถามจริงๆ ในหนึ่งวันเรามีเวลาว่างเหลือเท่าไร เมื่อหักเวลาทำงาน เวลานอน เวลากิน เวลาเดินทาง เวลาทำงานบ้าน บางคนอาจไม่เหลือเลยด้วยซ้ำ ผมว่าอย่างมากก็สองชั่วโมง แล้วตอนนี้คิดว่าหนึ่งชั่วโมงมันเยอะยังครับ ดังนั้นจงปกป้องเวลาของเราไว้ให้ดี เพราะมันมีค่ามากและมีจำกัดด้วย
หลังจากกำจัดภาระที่ไม่สำคัญต่อชีวิตไปแล้ว ทั้งภาระหน้าที่ในการทำงานและภาระหน้าที่ในชีวิตส่วนตัว เราก็จะเหลือเวลาให้กับสิ่งที่เรารัก และอยากทำมานานแล้ว แต่ไม่มีเวลา ซึ่งก็อาจแตกต่างกันไป
เมื่อเรากำจัดภาระหน้าที่ทิ้งไปสักอย่าง เราอาจรู้สึกผิด เมื่อนึกถึงคนที่เขาต้องการให้เราช่วย แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเหมือนกัน เพราะเราไม่ต้องแบกมันไว้ทุกวัน ทุกเวลา เราจะมีเวลามากขึ้น แม้ว่าจะทำให้คนอื่นผิดหวัง แต่เราก็ต้องระลึกไว้เสมอว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเรา ไม่ใช่สิ่งสำคัญกับคนอื่น หากเรายอมทำตามคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เราจะไม่มีเวลาเหลือให้สำหรับตัวเองเลย เราคนเดียวไม่สามารถแบกโลกไว้ทั้งใบได้หรอกครับ


