ทหารไทยเดินหน้า ลดพาร์ล้างขาดทุนแสนล้าน
8...เบญจมาศ เลิศไพบูลย์
แม้สถานการณ์บ้านเมืองยังร้อนฉ่า แต่เย็นวันที่ 24 พ.ค. คณะกรรมการธนาคารทหารไทย (TMB) กลับลุยเดินหน้าประชุมวาระสำคัญถึงมืดค่ำ
ผลจากการประชุม บอร์ดมีมติเห็นชอบแผนการลดราคาพาร์หุ้นสามัญ จำนวนทั้งหมด 43,529 ล้านหุ้น จากหุ้นละ 10 บาท เป็น 0.95 บาท ซึ่งแผนการลดราคาพาร์หุ้นสามัญจะดำเนินการด้วยวิธีทางบัญชี และจะส่งผลให้งบดุลของธนาคารไม่มียอดขาดทุนสะสม
ยอดขาดทุนสะสมที่ว่าคือ 101,048 ล้านบาท วงเงินมหาศาลที่สุมทรวงธนาคารมาเนิ่นนาน
บุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย ยืนยัน การลดราคาพาร์หุ้นสามัญของ TMB จะไม่ส่งผลกระทบต่อจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด และมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น หรือพื้นฐานการดำเนินงานของธนาคาร โดยส่วนต่ำมูลค่าหุ้น 303,088 ล้านบาท และยอดขาดทุนสะสม 101,048 ล้านบาท ในบัญชีส่วนของผู้ถือหุ้น จะถูกหักล้างในการดำเนินการทางบัญชี
ตามกระบวนการ การจะลดพาร์ได้นั้นต้องมีการแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญเสียก่อน ซึ่งระหว่างที่บ้านเมืองกำลังเกิดจลาจลวุ่นวายในวันที่ 19 พ.ค. ก็เป็นวันเดียวกับหุ้นบุริมสิทธิของกระทรวงการคลังครบกำหนดแปลงมาเป็นหุ้นสามัญ หลังจากตั้งตารอกันมานาน
บุญทักษ์ ยืนยันว่า สิ้นเดือน มิ.ย. 2553 จะไม่มียอดขาดทุนสะสมให้เห็น จากนั้นช่วงเวลาที่เหลือปีนี้ก็จะเป็นช่วงจังหวะของการเดินหน้าธุรกิจเพื่อทำกำไร โดยคาดว่าปีนี้น่าจะเห็นการทำกำไรได้เหมือนปีก่อน
และหากบัญชีของธนาคารไม่ติดขาดทุนสะสม แต่พลิกกลับมามีกำไร ก็จะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งถือเป็นภารกิจต่อมา
“
ครึ่งปีหลังผลประกอบการน่าทยอยดีขึ้น บริการลูกค้าให้ดีขึ้น ผลประกอบการก็น่ามีกำไร จ่ายเงินปันผลได้” บุญทักษ์ กล่าวสำหรับทุนของธนาคารนั้น บุญทักษ์ การันตียังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนในขณะนี้ รวมทั้งอนาคต เพราะเงินกองทุนที่มีอยู่ 67,912 ล้านบาท ระดับความเพียงพอของเงินกองทุนที่สูง 18.6% เมื่อรวมหุ้นกู้ที่ออกในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ทุนของธนาคารแน่นปึ้ก ซึ่งเงินกองทุนในระดับนี้ อยู่ในชั้นแนวหน้าของระบบธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารมีส่วนของผู้ถือหุ้น 47,927 ล้านบาท
ขั้นตอนจากนี้ เมื่อแผนการลดราคาพาร์หุ้นสามัญของธนาคารได้รับความเห็นชอบในหลักการจากทางการที่เกี่ยวข้องแล้ว ธนาคารจะนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 มิ.ย.
บุญทักษ์ กล่าวว่า นอกเหนือจากการประชุมเพื่อพิจารณาลดพาร์ล้างขาดทุนสะสม บอร์ดยังได้เห็นชอบโครงการจ่ายโบนัสให้พนักงานในรูปแบบของหุ้น (TMB Performance Share Bonus Program หรือ TMB PSBP) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีในระดับสากล (International Best Practice) โดยขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ที่จะทำให้โครงสร้างผลตอบแทนรวมของพนักงานสามารถแข่งขันได้กับตลาด และเป็นเครื่องมือในการรักษาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถให้ทำงานกับธนาคารต่อไป
ตามโครงการนี้พนักงานมีสิทธิที่จะเลือกแบ่งรับโบนัสตามผลงาน (Performance Bonus) เป็นเงิน 50% และส่วนที่เหลืออีก 50% เป็นหุ้นของ TMB ซึ่งธนาคารจะนำเงินส่วนนี้มาทยอยจัดสรรหุ้นให้พนักงานใน 3 ปีข้างหน้า
การเข้าร่วมโครงการ TMB PSBP จะเป็นไปตามความสมัครใจของพนักงานแต่ละคน ส่วนผู้บริหารระดับสูงนั้น ธนาคารกำหนดให้เข้าร่วมโครงการทุกคน เนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทโดยตรงในการนำกลยุทธ์มาปฏิบัติ และบริหารเพื่อสร้างความเติบโตและรายได้ให้แก่ธนาคาร
บุญทักษ์ อธิบายว่า โครงการ TMB PSBP จะทำให้ผลการปฏิบัติงานของพนักงานสอดคล้องกับผลการดำเนินงานของธนาคารโดยรวม เป็นการจูงใจให้พนักงานทุกคนทุ่มเทในการสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง และมีความคิดริเริ่มเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธนาคารในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ถือหุ้นของ TMB
“
ผมยกตัวอย่างพนักงานทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูง เราให้สิทธิเลือกว่าจะรับโบนัสเป็นเงินสดทั้งหมด หรือจะรับเงินสดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นหุ้น เช่น ถ้าคนนั้นได้โบนัส 1 หมื่นบาท สามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็นเงินสด 1 หมื่นบาททั้งก้อน หรือเลือกรับเงินสด 5,000 บาท ส่วนอีก 5,000 บาทรับเป็นหุ้น ซึ่งในส่วนที่เป็นหุ้นจะทยอยแจก 3 ปี ปีละ 1 ใน 3 เริ่มตั้งแต่ปี 25552557 เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่าพนักงานก็ต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำให้ผลประกอบการของธนาคารออกมาดี ให้สะท้อนกลับมาที่ราคาหุ้น โดยจะเริ่มจากผลประกอบการของปี 2553 เพื่อให้โบนัสพนักงานในเดือน มี.ค. 2554 แต่ในตัวของหุ้นจะเริ่มแจกปี 2555” บุญทักษ์ อธิบายถึงขั้นตอนบุญทักษ์ มองว่า นี่คือวิธีการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน นอกจากได้หุ้นแล้ว ยังได้ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นด้วย หากผลประกอบการออกมาดี แต่ถ้าต้องการโบนัสในรูปเงินสดอย่างเดียว ก็ได้ก้อนเดียวจบ ไม่ได้ในส่วนที่เป็นระยะยาว ซึ่งการให้โบนัสในรูปแบบนี้ ธนาคารก็จะนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 มิ.ย. ด้วยเช่นกัน
หากย้อนกลับไปดูผลประกอบการไตรมาสแรก 2553 ทั้งธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 707 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2552 จำนวน 688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%
และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนก็เพิ่มขึ้น 62% โดยไตรมาสแรกปีก่อนธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 436 ล้านบาท
นอกจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของความสามารถในการทำกำไร ธนาคารยังคงปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้น ดำรงสภาพคล่องในระดับสูง มีสัดส่วนเงินฝากที่ดี และมีเงินกองทุนตามกฎหมายในระดับสูง
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขายปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายปีก่อน และไตรมาสแรกของปี 2552 โดยเอ็นพีแอลในไตรมาสแรกปีนี้ลดลงเหลือ 52,727 ล้านบาท จาก 54,095 ล้านบาทในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน และจาก 73,957 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2552 จากการจัดการเอ็นพีแอลอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงเหลือ 12.1% จาก 12.7% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน
ขณะที่สัดส่วนเงินฝากเริ่มเป็นไปตามสูตรของผู้บริหารที่ต้องการลดต้นทุนเงินฝาก ด้วยการเพิ่มสัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์คิดเป็นสัดส่วน 52.1% ของเงินฝากทั้งสิ้น จาก 49.5% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน
ไตรมาสแรกธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิจำนวน 2,944 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 3,059 ล้านบาทในไตรมาสที่แล้ว ส่วนใหญ่จากปริมาณสินเชื่อลดลง ในขณะที่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิก็ลดลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน จาก 2.3% ในไตรมาสที่แล้ว เหลือ 2.18% เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สภาพคล่องในช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2553 ซึ่งทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ลดลง แม้ว่าต้นทุนของหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจะลดลงก็ตาม
ในไตรมาสนี้รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารอยู่ที่ 1,189 ล้านบาท ลดลง 4.7% จากไตรมาสที่แล้ว แต่ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 15% จากไตรมาสแรกของปี 2552
รายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2552 เนื่องจากมีรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้สินเชื่อลดลง ในขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 2552 แล้ว รายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นมาจากการปรับตัวดีขึ้นโดยรวมของการสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงิน ธุรกิจบัตรเครดิต ATM ธุรกิจประกันชีวิต และกองทุนรวม
ไตรมาสแรกธนาคารมีเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น 360,066 ล้านบาท ลดลง 2.2% จากไตรมาสที่แล้ว การลดลงของเงินให้สินเชื่อส่วนใหญ่เป็นผลจากการคืนเงินกู้ของลูกค้ารายใหญ่ในช่วงต้นไตรมาสแรก
ทั้งนี้สัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่คิดเป็น 51.5% สินเชื่อเพื่อธุรกิจรายย่อยและขนาดกลางคิดเป็น 29.9% และสินเชื่อส่วนบุคคลคิดเป็น 18.6%
จะเห็นได้ว่าการบริหารงานในยุคบุญทักษ์ ธนาคาร ทหารไทยแห่งนี้ไม่ได้เหมือนก่อน แต่กำลังก้าวข้ามไปยืนอยู่ในจุดที่สร้างหลักให้ตัวเองและผู้ถือหุ้นได้ โดยไม่เบียดเบียนผู้ถือหุ้นใหญ่ กระทรวงการคลัง ซึ่งน่าสนใจว่าต่อไปหุ้นสามัญในส่วนของกระทรวงการคลังที่เพิ่งถูกแปลงจากหุ้นบุริมสิทธิ จะถูกกระจายออก หรือยืนหยัดถือต่อในวันที่สุขภาพธนาคารพลิกฟื้นแข็งแรง


