สิ่งทอปากีสถาน เรื่องของแขกขายผ้า (3)
“ผ้า” ที่ผลิตจากโรงงานที่แมนเชสเตอร์เป็นสินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างแรกของอังกฤษที่ส่งออกขายต่างประเทศ
“ผ้า” ที่ผลิตจากโรงงานที่แมนเชสเตอร์เป็นสินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างแรกของอังกฤษที่ส่งออกขายต่างประเทศ
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่มากอีกอย่างหนึ่งของโลกที่ต่อเนื่องมาจากอุตสาหกรรมการผลิตผ้าของอังกฤษคือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ซึ่งนำไปสู่การเกิดระบบเศรษฐกิจและการเมืองในโลกใหม่ ทำให้โลกปั่นป่วนเป็นการใหญ่ในเวลาต่อมา
เมื่อฝ้ายที่ปลูกจาก British India ในขณะนั้น คือ ปากีสถานและอินเดียในปัจจุบันนี้ ได้ถูกล่องเรือมายังแมนเชสเตอร์ได้กลายเป็นวัตถุดิบมาเพิ่มสัดส่วนแทนขนแกะ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่แมนเชสเตอร์เคยทอกันตามบ้านแล้วส่งออกขายในยุโรปไม่น้อยกว่า 200 ปีก่อนหน้านั้น
การนำเข้าฝ้ายจาก British India ในระยะแรกถูกต่อต้านจากพวกเลี้ยงแกะในอังกฤษ เพราะทำให้รายได้จากการขายขนแกะของพวกนั้นลดวูบลง สภาต้องออกกฎหมายคุ้มครองปริมาณนำฝ้ายจาก British India อยู่ตั้ง 30 ปี แต่หลังจากตลาดต่างประเทศโตมากขึ้นกฎหมายนี้ก็ยกเลิกไป
ฝ้ายจาก British India ทำให้โรงงานปั่นด้ายและทอผ้าในแมนเชสเตอร์เพิ่มขึ้นมากมาย แต่เนื่องจากอังกฤษได้ประกาศเลิกทาสไปตั้งแต่ ค.ศ. 1833 ทำให้ขาดแคลนแรงงาน คนบ้านนอกอพยพเข้ามาหางานทำที่โรงงาน เกิดสลัมเต็มเมือง
คนอยู่กันอย่างไร้สุขอนามัย น้ำเน่า ขยะ โรคระบาด อหิวาต์ (อีโบลายังไม่มา) ฯลฯ ครอบครัวอุ้มเด็กตัวเล็กๆ เข้าไปร่วมทำงานในโรงงาน
อาจารย์ของผู้เขียนที่นิเทศ จุฬาฯ เคยบอกว่า ใครอยากเห็นบรรยากาศและเรื่องราวของสังคมอังกฤษยุคนั้นจริงๆ ให้ไปอ่านวรรณกรรม Charles Dickens ยังไม่ได้อ่านค่ะ แต่เพื่อนติวให้ฟังก่อนเข้าห้องสอบ แฮ่
นั่นเป็นเรื่องในมุมมืด แต่แมนเชสเตอร์ในอังกฤษก็ยังเป็นเมือง อันโชติช่วงชัชวาลที่ยุโรปทั้งหมดหันมามอง
หลายคนจากต่างประเทศหอบเงินมาลงทุน มาถือหุ้น และมาตั้งกิจการทอผ้าที่แมนเชสเตอร์ เพราะทุกอย่างในการลงทุนที่แมนเชสเตอร์มัน งดงามจริงๆ
เครื่องจักร ถ่านหิน วัตถุดิบ Logistics รถไฟ เรือ ท่าเรือ แรงงาน ตลาดรับสินค้า ฯลฯ
โอ พระเจ้า อะไรๆ มันดูดีไปหมด
จะเห็นว่าหลังจากอังกฤษจัดการจักรพรรดินโปเลียนได้แล้ว อังกฤษ เก่งขึ้นมากผิดตา พอมาถึงสมัยพระนางเจ้า Victoria อังกฤษพิสูจน์ให้เห็นถึงฝีมือที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก
เพราะคนอังกฤษทำงานอย่างมีจินตนาการค่ะ
แต่ท่านผู้อ่านคะ ขณะที่แมนเชสเตอร์กำลังหอมกรุ่นอยู่ในกลิ่นอวลของการลงทุนและกำไร เหตุการณ์ที่แมนเชสเตอร์ที่สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นต้นธารที่นำไปสู่การสะเทือนโลกอีกอย่างหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้น
นักลงทุนชาวเยอรมันครอบครัวหนึ่ง มาตั้งโรงงานทอผ้าที่แมนเชสเตอร์ และพยายามให้ลูกชายคนหนึ่งเข้าดูแลกิจการนี้
แต่ลูกชายที่ครอบครัวนั้นส่งมาดูแลกิจการเมื่อได้เห็นสภาพของการใช้แรงงานทั้งที่โรงงานของพ่อตนเองและโรงงานในแมนเชสเตอร์แล้วถอดใจ
“พ่อครับ ทำไมมัน (โคตร) เลวร้ายอย่างนี้ พ้ม ม่าย เข้า จาย จิง จิง”
ลูกชายเจ้าของโรงงานนั้นชื่อ Friedrich Engels ค่ะ
เขาคนนี้แหละคือผู้หนึ่งที่จะมาสร้างเรื่องเขย่าโลกหลังสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมที่แมนเชสเตอร์
บางท่านอาจยังงงๆ หรืออาจไม่คุ้นกับชื่อ Friedrich Engels ว่าเป็นใครและจะมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมต่อไปอย่างไร
แต่หากผู้เขียนจะเปิดเผยชื่อเพื่อนคู่ซี้ของเขาให้ฟังอีกคนแล้วท่านผู้อ่านต้องร้อง “อ๋อ” แน่นอนค่ะ
ก็ Karl Marx ไงละคะ
เขียนเรื่องแขกขายผ้า แต่จะขอนำผู้อ่านแวะมาหาคู่ซี้ Duo สองคนนี้ซะหน่อย อย่าเพิ่งไปไหนกันนะคะ ตอนหน้าหนุกค่ะ
(อ่านต่อวันอังคารหน้าค่ะ)


