posttoday

คำว่า ‘เชฟ’

21 สิงหาคม 2557

เมื่อวานมีน้องที่เป็นเชฟโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กอ่านแล้วน่าคิดมากค่ะว่าคำว่า “เชฟ” ตอนนี้เรียกกันมั่วไปหมด บางคนก็เรียกตัวเอง บางคนก็คนรอบข้างตั้งขึ้นให้เป็น “เชฟ”

เมื่อวานมีน้องที่เป็นเชฟโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กอ่านแล้วน่าคิดมากค่ะว่าคำว่า “เชฟ” ตอนนี้เรียกกันมั่วไปหมด บางคนก็เรียกตัวเอง บางคนก็คนรอบข้างตั้งขึ้นให้เป็น “เชฟ”

ในความเป็นจริงแล้วอาชีพนี้พร้อมคำจำกัดความนั้นมาจากประสบการณ์และตำแหน่งงานในโรงแรมเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นมาก็เริ่มเรียกกันไปทั่วในวงการอาหาร เพราะในร้านอาหารสมัยก่อนก็จะใช้คำว่า “กุ๊ก” กันจนคุ้นปากคุ้นหู แต่เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจร้านอาหารมากขึ้นบรรดาเชฟที่มีชื่อเสียงก็หันมาเปิดร้านอาหารของตัวเองกันมากขึ้น วิธีการเรียกตำแหน่งจึงทำให้คำว่า “เชฟ” ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

การเป็นเชฟมาจากหน้าที่และความรับผิดชอบในการทำงานเป็นสำคัญโดยเอาแบบอย่างมาจากกองทหาร

เนื่องจากการทำงานในครัวนั้นมีรายละเอียดในการทำงานเยอะมากและเป็นหน้าที่ที่ต้องอยู่กับของมีคมและความร้อนตลอดเวลา (ถึงจะเถียงว่าอยู่ครัวเย็นก็เถิด...ก็ต้องมีมีดอยู่ดี) อีกทั้งเวลาในการประกอบอาหารก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผลผลิตหรืออาหารจานนั้นๆ ออกมาอร่อย สวยงาม และทันเวลา ฉะนั้นกฎระเบียบและวินัยในครัวจึงจำเป็นมากที่ทำให้ทุกคนในครัวซึ่งเปรียบเสมือนกองทหารรบได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำงานสอดประสานกัน ลองมาทำความรู้จักตำแหน่งในครัวคร่าวๆ กัน

*Executive Chef แม่ทัพใหญ่ในครัว มีหน้าที่ดูแลครัวให้ดำเนินงานไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งต้องใช้ทั้งบู๊และบุ๋นควบคู่กัน

*Sous Chef รองแม่ทัพ มีหน้าที่แทนเวลาแม่ทัพไม่อยู่หรือไปออกรายการ Cooking Show ต่างๆ บางครั้งก็เติมคำว่า Executive ไว้ด้านหน้าด้วยเพื่อความอลังการ

*Chef de Partie คือ หัวหน้ากองร้อยหรือหัวหน้าแผนกต่างๆ เช่น ครัวร้อน ครัวเย็น ครัวจีน ครัวของหวาน ฯลฯแล้วแต่ว่าจะมีจำนวนของประเภทอาหารและขนาดความจุที่นั่งลูกค้าใหญ่โตเพียงไหน กองทัพครัวก็ต้องมีประสิทธิภาพรบกับงานที่จะเข้ามาได้เสมอ

ยังมีตำแหน่งอื่นรองลงไปอีกเยอะซึ่งจะใช้ทับศัพท์เป็นภาษาฝรั่งเศสต้นตำรับทั้งนั้นเป็นสากล เว้นแต่อาหารชาติอื่นเช่นจีน,ญี่ปุ่นก็จะเรียกต่างกันไปตามหน้าที่

ฉะนั้นการเป็นเชฟนั้นง่าย แค่ใส่เข้าไปหน้าชื่อตัวเองก็เป็นกันได้แล้วทุกคน แต่จะเป็นเชฟที่ดีหรือไม่นั้น ลูกน้องหรือทหารภายใต้การบังคับบัญชาของคุณจะบอกเอง และที่สำคัญไปกว่านั้นคืออาหารที่ออกมาเสิร์ฟลูกค้าและความพึงพอใจรวมจนไปถึงผลกำไรของธุรกิจจะเป็นตัวบ่งชี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วการวางแผนการตลาด, การประชาสัมพันธ์ ที่ถูกจุดประสงค์ของธุรกิจอาหารแบบขยายสาขาหรือตัว product นั้นโดยอาศัยเชฟเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อสรุปแบบคร่าวๆ เท่านั้นนะคะส่วนอื่นๆ ก็คงแล้วแต่จะพิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละcastไปและโดยเฉพาะปัจจุบันนี้คนให้ความสนใจเรื่องอาหารกันมากทำให้เกิดธุรกิจแตกยอดมากมาย ทำให้เกิดการกระจายรายได้และมีการแข่งขันสูงทีเดียวค่ะ โชคดี

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์–พลังงานกดดัน S&P 500