ค่าคลอดครั้งนี้ แม่มีคนช่วย
ใกล้ “วันแม่” ก็ขออนุญาตเอาใจคนใกล้จะเป็นแม่สักหน่อย เพราะยิ่งใกล้คลอดยิ่งมีเรื่องให้เป็นห่วงเป็นกังวลเต็มไปหมด
ใกล้ “วันแม่” ก็ขออนุญาตเอาใจคนใกล้จะเป็นแม่สักหน่อย เพราะยิ่งใกล้คลอดยิ่งมีเรื่องให้เป็นห่วงเป็นกังวลเต็มไปหมด และสำหรับหลายคน หนึ่งในสารพัดความกังวลที่เกิดขึ้น คือ ค่าใช้จ่ายการคลอด และรายได้ในช่วงหยุดงานหลังคลอด
คงจะดีถ้ามีใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้บ้าง
และน่าจะเป็นโชคดีของ “มนุษย์เงินเดือน” ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัทเอกชน หรือข้าราชการ ที่มีสิทธิประโยชน์และสวัสดิการมาช่วย
ค่าคลอด
คุณแม่ที่รับราชการเป็น (“ข้าราชการเต็มขั้น”) ก็สบายหน่อย เพราะคลอดที่โรงพยาบาลรัฐสามารถจ่ายตรงได้เลย แต่อาจจะต้องควักเงินบ้างนิดหน่อยสำหรับรายการที่เบิกไม่ได้
แต่ถ้าเป็นคุณแม่ที่ทำงานบริษัทเอกชนและเป็นผู้ประกันตน ของกองทุนประกันสังคมก็มีสิทธิเบิกค่าคลอดได้เหมือนกัน เพียงแต่จ่ายเงินสมทบครบตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ภายใน 15 เดือน ก่อนคลอด เราต้องจ่ายเงินสมทบครบ 7 เดือน (ไม่นับเดือนที่คลอด) โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายแบบ 7 เดือน ติดต่อกันก็ได้
ถ้าจ่ายครบตามเงื่อนไข ก็สามารถเบิกค่าคลอดบุตรในอัตราเหมาจ่าย ครั้งละ 1.3 หมื่นบาท แต่จะเบิกได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น
ในกรณีค่าคลอดนี้ ไม่ใช่แค่คุณแม่จะเบิกได้อย่างเดียว ของคุณพ่อสามารถเบิกได้เหมือนกัน ถ้าจ่ายสมทบมาครบ 7 เดือน และเบิกได้ในอัตราเดียวกัน คือ ครั้งละ 1.3 หมื่นบาท แต่จะเบิกได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น
ค่าจ้าง
คุณแม่รับข้าราชการสามารถลาคลอดได้ 90 วัน และใน 90 วันนี้ก็จะได้รับเงินเดือนตามปกติ
พนักงานบริษัทเอกชน พนักงานราชการ รวมทั้งคนที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานราชการ แต่ไม่ได้เป็นข้าราชการ แม้จะหยุดงานได้ 90 วันเท่ากัน แต่จะได้เงินเดือนจากนายจ้างเพียงแค่ 45 วัน
แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะคุณแม่ยังมีสิทธิได้รับ “เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร” จากกองทุนประกันสังคมอีกส่วนหนึ่ง ในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน โดยกำหนดเพดานเงินเดือนสูงสุดไว้ที่ 1.5 หมื่นบาท
เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ก็คือ ได้จากนายจ้าง 1.5 เดือน และกองทุนประกันสังคมอีก 1.5 เดือน
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณแม่มีเงินเดือนเดือนละ 2 หมื่นบาท จะได้รับเงินเดือนจากนายจ้าง 3 หมื่นบาท และได้เงินสงเคราะห์อีก 2.7 หมื่นบาท รวมเป็น5.7 หมื่นบาท (หย่อนจากเงินเดือนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปสักหน่อย)
นอกจากคุณแม่จะลาคลอดได้แล้ว ในช่วง 30 วันหลังคลอด คุณพ่อที่รับราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ยังได้สิทธิลาไปช่วยภรรยา (ที่ถูกต้องตามกฎหมาย) เลี้ยงลูกได้ 15 วัน โดยได้รับเงินเดือน แต่ถ้าจะลาช่วงหลังคลอดเกิน 30 วันแล้วก็จะไม่ได้เงินเดือน
จริงๆ แล้วสิทธิที่ให้คุณพ่อที่เป็นข้าราชการลางานไปช่วยคุณแม่เลี้ยงลูกหลังคลอดมีมาตั้งแต่ปี 2555ขณะที่คุณพ่อพนักงานรัฐวิสาหกิจมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาในช่วงกลางปี 2556 (แต่สิทธินี้ยังมาไม่ถึงคุณพ่อพนักงานบริษัทเอกชน) แต่ก็ดูเหมือนว่า คุณพ่ออีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธินี้อยู่
ค่าขนมลูก
นอกจากจะเบิกค่าคลอด 1.3 หมื่นบาท ได้เงินสงเคราะห์การหยุดงาน 1.5 เดือน คุณแม่ (และคุณพ่อ) ที่เป็นผู้ประกันตนยังได้รับเงินสงเคราะห์บุตรจากกองทุนประกันสังคมอีก คนละ 400 บาท/เดือน โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีให้ทุกเดือนตั้งแต่เกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี ถ้าจ่ายสมทบครบตามเงื่อนไข
คุณพ่อคุณแม่ที่จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรจะต้องจ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีสงเคราะห์บุตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายใน 36 เดือน ก่อนคลอด โดยผู้ประกันตนหนึ่งคนจะให้สิทธิลูก 2 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ สำหรับพนักงานบริษัทเอกชนบางแห่งอาจจะมีสวัสดิการพิเศษให้สำหรับพนักงานเพิ่มเติมจากนี้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมตรวจสอบสิทธิที่มีอยู่ด้วย
และเมื่อถึงเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้บุคคลธรรมดา เรายังสามารถหักลดหย่อนบุตรคนละ 1.5 หมื่นบาท (ได้ไม่เกิน 3 คน) ไปจนกว่าลูกจะอายุ 25 ปี และถ้าลูกเรียนในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาในประเทศจะได้ลดหย่อนเพื่อการศึกษาได้อีกคนละ 2,000 บาท
สิทธิติดตัวแม่
ถ้าคุณแม่คุณพ่อที่มีสิทธิเบิกแค่คนใดคนหนึ่งก็ไม่มีปัญหา ใช้สิทธิเดียวที่มีอยู่ให้เต็มที่ แต่ความสับสนเกิดเมื่อทั้งพ่อและแม่มีสิทธิเบิกค่าคลอดทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทั้งคู่ เป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ หรือคนหนึ่งเป็นข้าราชการ แต่อีกคนมีสิทธิจากประกันสังคมจะจัดการอย่างไร ใครเบิกอะไรได้และต้องทำอย่างไร
หลักการพื้นฐาน คือ สิทธิการเบิกจะติดอยู่ที่ตัวแม่เป็นหลัก เพราะฉะนั้นถ้าแม่มีสิทธิอะไรต้องใช้สิทธินั้นก่อน
ถ้าแม่เป็นผู้ประกันตน พ่อเป็นข้าราชการ ต้องใช้สิทธิค่าคลอดของคุณแม่ที่เบิกจากประกันสังคม โดยจ่ายเงินออกไปก่อนแล้วค่อยยืนเรื่องเบิกภายหลัง โดยเบิกได้ 1.3 หมื่นบาท
แต่ส่วนใช้จ่ายที่เกินจาก 1.3 หมื่นบาท เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางให้ข้อมูลว่าคุณพ่อสามารถนำมาใช้สิทธิเบิกจากส่วนราชการได้อีก แต่คุณแม่ต้องเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่ก็ต้องจดทะเบียนรับคุณลูกเป็นบุตรให้เรียบร้อยจึงจะมีสิทธิ
ครอบครัวที่ได้ประโยชน์มากกว่าครอบครัวอื่นสักหน่อย ก็คือ คุณแม่เป็นข้าราชการสามารถเบิกตรงได้ และคุณพ่อเป็นผู้ประกันตนเบิกค่าคลอดได้อีก 1.3 หมื่นบาท แถมยังได้เงินสงเคราะห์บุตรอีกส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งสำนักงานประกันสังคมชี้แจงกรณีนี้ว่า เป็นเพราะประกันสังคมจะไม่ตัดสิทธิของผู้ประกันตนแม้ว่าคุณแม่จะเบิกได้จากส่วนราชการแล้ว
กรณีที่พ่อและแม่เป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ก็ต้องเลือกว่าการคลอดแต่ละครั้งจะให้ใครเป็นคนใช้สิทธิ เพราะแต่ละคนมีสิทธิเบิกค่าคลอดได้คนละ 2 ครั้ง (รวม 4 ครั้ง) และรับเงินสงเคราะห์บุตรได้ฝั่งละ 2 คน (รวม 4 คน)
สำหรับกรณีแบบนี้ มีคำแนะนำให้เลือกใช้สิทธิของคุณแม่ก่อน เพราะนอกจากจะได้ค่าคลอดแล้ว ยังได้ค่าจ้างอีก 1.5 เดือน แต่เมื่อคุณแม่ใช้สิทธิครบ 2 ครั้งแล้ว จึงมาใช้สิทธิของคุณพ่อที่ได้เฉพาะค่าคลอดและเงินสงเคราะห์บุตร
แต่ไม่ว่าจะใช้สิทธิของคุณแม่หรือคุณพ่อ ที่สำคัญ คือ ต้องยื่นเรื่องภายใน 1 ปี ไม่อย่างนั้นก็หมดสิทธิเบิกทุกรายการ
นอกจากนี้ คุณแม่ที่มีประสบการณ์ใช้สิทธิเบิกจากประกันสังคมยังแนะนำให้คนที่ใช้สิทธิไปยื่นเบิกที่สำนักงานประกันสังคมด้วยตัวเอง เพราะถ้าไปด้วยตัวเอง และมีเอกสารครบจะได้รับเงินสดทันที แต่ถ้าไม่สะดวกจะกรอกเอกสารและมอบอำนาจให้คนอื่นไปยื่นแทนก็ได้ หรือจะส่งไปรษณีย์ก็ว่ากัน เพียงแต่จะได้รับเงินช้ากว่า
ผู้ประกันตนสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์ม “คำขอรับประโยชน์ทดแทน 210” และตรวจสอบรายละเอียดเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการเบิกแต่ละกรณีได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานกองทุนประกันสังคม (www.sso.go.th)
ต้องระวังอีกเรื่อง คือ ในกรณีที่คุณแม่พนักงานเอกชนมี “ภาระหนี้”ที่ต้องผ่อนชำระโดยการหักเงินเดือน เช่น ผ่อนบ้าน จ่ายหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ จะต้องสอบถามวิธีการจ่ายเงินเดือนให้ชัดเจนว่าจะจ่ายอย่างไร และในช่วงเดือนครึ่งที่ไม่ได้จ่ายเงินเดือน เราจะต้องจัดการอย่างไร
ทีนี้ว่าที่คุณแม่ก็จะได้เตรียมเป็นคุณแม่ได้อย่างสบายใจ...ไปอีกเปลาะหนึ่ง


