นารีแห่งแดนอาทิตย์อุทัย
ก่อนจะส่งคอลัมน์ในครั้งนี้ผมได้ลองถามน้องที่ทำงานหลายคนว่าถ้าได้อ่านชื่อตอนดังกล่าวแล้วเดาว่าบทความครั้งนี้จะออกมาเกี่ยวกับอะไรหรือไปในแนวไหน คำทายที่ผมได้รับมีหลากหลายพอสมควร บ้างก็ว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติชุดกิโมโนและเกอิชา บ้างเดาว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับดาราหนัง หรือบางคนเดาไปถึงว่าจะต้องเป็นประวัติของนักการเมืองหญิงรุ่นใหม่ไฟแรงที่จะมาแทนนายอาเบะในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน
ก่อนจะส่งคอลัมน์ในครั้งนี้ผมได้ลองถามน้องที่ทำงานหลายคนว่าถ้าได้อ่านชื่อตอนดังกล่าวแล้วเดาว่าบทความครั้งนี้จะออกมาเกี่ยวกับอะไรหรือไปในแนวไหน คำทายที่ผมได้รับมีหลากหลายพอสมควร บ้างก็ว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติชุดกิโมโนและเกอิชา บ้างเดาว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับดาราหนัง หรือบางคนเดาไปถึงว่าจะต้องเป็นประวัติของนักการเมืองหญิงรุ่นใหม่ไฟแรงที่จะมาแทนนายอาเบะในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน
และก็ไม่มีคนทายถูกครับ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าชื่อตอนในครั้งนี้ดูเหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่จะนำมาเล่าในวันนี้มากที่สุดแล้วครับ จริงๆแล้วผมเคยเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วในคอลัมน์ตอน An Older Japan ถึงความสำคัญของสตรีญี่ปุ่นถึงขนาดที่ว่า ชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเองยังเคยกล่าวไว้ว่าทรัพยากรที่ญี่ปุ่นยังใช้น้อย (กว่าที่ควร) อยู่ก็คือทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นผู้หญิงนั่นเอง
ในวันนี้ผมไม่ได้จะมากล่าวถึงวีรสตรีญี่ปุ่นท่านหนึ่งท่านใดในประวัติศาสตร์ แต่อยากจะกล่าวถึงความสำคัญ (อย่างมาก) ของสุภาพสตรีในวัยทำงานที่กำลังจะกลายเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจในญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้กว่าที่หลายคนคิด ท่ามกลางสภาวะจำนวนประชากรญี่ปุ่นที่ลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา พร้อมๆ กับประชากรวัยแรงงานที่ลดน้อยถอยลงไปตามๆ กันจากภาวะการทยอยเข้าสู่วัยเกษียณของประชากรในสมัย Baby boomer ซึ่งเกิดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะกลุ่มที่เกิดในช่วงประมาณปี 2492 ซึ่งจะเข้าสู่วัย 65 ปีในปีนี้
หากพิจารณาจากในช่วงเวลาประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา นับจากปี 2551 อัตราการเข้าร่วมในตลาดแรงงานของสตรี (Women Labor Force Participation Rate) ในบางช่วงอายุนั้นที่จริงแล้วได้มีการปรับตัวสูงขึ้นด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น ในกลุ่มช่วงอายุ 3040 ปี ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 5 และในกลุ่มช่วงอายุ 4060 ปี ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ในขณะเดียวกันอัตราดังกล่าวในกลุ่มประชากรวัยทำงานฝ่ายชายโดยรวมกลับเริ่มปรับตัวลดลง จากสมการอย่างง่ายที่สุดถ้าความสามารถในการผลิตของมนุษย์เท่าเดิม เศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะไม่หดลงถ้ามีจำนวนคนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานมากกว่าคนที่ออกไป
ในปีที่แล้วปีเดียว ท่ามกลางสภาวะที่ประชากรรวมและประชากรวัยแรงงานลดลงเรื่อยๆ นั้น ญี่ปุ่นกลับมีจำนวนคนในตลาดแรงงานสูงขึ้นถึง 2.2 แสนคน และมาถึงตรงนี้คงไม่น่าแปลกใจนักถ้าผมจะบอกว่ามี labor force ในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นจากฝ่ายหญิงถึง 3.8 แสนคน ในขณะที่ตัวเลขของฝ่ายชายก็ได้ออกจากตลาดแรงงานไปถึง 1.6 แสนคน นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญของตลาดแรงงานญี่ปุ่น ที่อาจเป็นตัวกำหนดอนาคตของเศรษฐกิจของประเทศเลยทีเดียว
เดือนที่แล้วในตอนคาโรชิ (Karoshi) ผมเคยกล่าวถึงบทบาทของ “ซาลารี่มาน” ในวัฒนธรรมการทำงานในญี่ปุ่นไปพอสมควรแล้ว แต่ในอนาคตอันใกล้ ไม่แน่เราอาจจะได้ยินคำว่า “ซาลารี่วูมาน” มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นได้
ในแม่แบบแผนการเจริญเติบโตของรัฐบาล ชินโสะอาเบะ ซึ่งได้มีการประกาศออกในเดือนนี้ (มิ.ย. 2557)หรือ Growth Strategy ซึ่งเป็นฉบับปรับปรุงขึ้นจากแผนเดิม (the Japan Revitalization Strategy) และว่ากันว่าเป็น “ลูกศรดอกที่สาม” ของอาเบะโนมิกส์นั้นก็ได้มีการกำหนดแนวทางแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อเอื้ออำนวยให้สุภาพสตรีมีการเข้าร่วมในตลาดแรงงานมากขึ้นด้วย โดยมุ่งเน้นเป้าหมายไปที่กลุ่มประชากรสตรีในวัย 2544 ปี ซึ่งเดิมที่มักจะลาออกจากตลาดแรงงานไปอย่างถาวรหลังจากแต่งงานและ/หรือมีบุตรแล้ว และกลุ่มสตรีในวัย 60-64 ปี ซึ่งอาจแสดงถึงการออกจากงานหรือการเกษียณก่อนกำหนด เป็นต้น
มีรายงานฉบับหนึ่ง ระบุว่า หากทุกอย่างที่นายกอาเบะเสนอเป็นไปตามแผน ใน Growth Strategy โดยเฉพาะในเรื่องการลดภาษีผลประกอบการบริษัท และเรื่องอัตราการเข้าร่วมในตลาดแรงงานของสตรี เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะได้รับอานิสงส์อย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก 0.3-0.4% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ไม่แน่นะครับ หลังจากเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะซบเซาลงมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงปี 2533 เป็นต้นมาจนเป็นที่มาของช่วงเวลาตามตำราฝรั่งที่เรียกว่า “(สอง) ทศวรรษที่หายไป” หรือ The Lost (Two) Decade (s) นั้น สิ่งที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งอาจจะไม่ใช่นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจากธนาคารกลางก็ได้ สิ่งที่จะเป็นความหวังและอนาคตใหม่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในแผนการ the New Growth Strategy ภายใต้รัฐบาล ชินโสะ อาเบะ มีความเป็นไปได้สูงครับว่าจะเป็น...นารีแห่งแดนอาทิตย์อุทัยนั่นเอง


