posttoday

20ปี รถไฟรางคู่"เพิ่งตั้งไข่"

17 มิถุนายน 2557

โดย...วงศ์สุภัทร์ คงสวัสดิ์

โดย...วงศ์สุภัทร์ คงสวัสดิ์

ยังคงไม่สะเด็ดน้ำ กับการเดินหน้าลงทุนระบบราง โดยเฉพาะรถไฟทางคู่สายใหม่ 5 เส้นทาง ซึ่งล่าสุด (วันที่ 16 มิ.ย.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) หารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) บรรจุโครงการลงทุนของกระทรวงคมนาคมไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2558

“ด้านสาธารณูปโภคต้องพิจารณาว่า สิ่งใดทำได้ก่อน เช่น รถไฟทางคู่ ซึ่งคนยังไม่เข้าใจและเห็นภาพว่าเป็นอย่างไร อยากอธิบายว่ารถไฟทางคู่ คือ การสร้างรางรถไฟขนานกันเป็นทางไปกลับ ต่อไปเราก็อาจจะแยกเอาเส้นทางรางรถไฟเก่าไว้ขนผัก ส่วนของใหม่ก็เอาไว้ขนคน ส่วนรถไฟความเร็วสูงที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมาก ต้องไปพิจารณาว่าคุ้มทุนหรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้นโยบายกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องผ่านหน้าจอทีวีเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา

เป็นสัญญาณชัดเจนว่า คสช.ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการลงทุนรถไฟทางคู่ ไม่ต่างกับยุคสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อขนผัก

แต่บริบทที่เหมือนกัน ก็คือ เวลาที่ผ่านไปเกือบ 20 ปีแล้ว พบว่าตั้งแต่ประเทศไทยมีแนวคิดสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ การผลักดันโครงการยังไปไม่ถึงไหน และอาจเรียกได้ว่าเพิ่งตั้งไข่ด้วยซ้ำ

เพราะปัจจุบันไทยมีรางรถไฟทั้งสิ้น 4,043 กิโลเมตร (ไม่รวมทางแยกเชิงพาณิชย์) เส้นทางรถไฟเชื่อมพื้นที่ 47 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นทางเดี่ยว 3,763 กิโลเมตร แต่กลับมีทางคู่ 173 กิโลเมตร และทางสามหรือทางรถไฟรอสับหลีก 107 กิโลเมตรเท่านั้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10%

“ก่อนหน้าผม คนที่ทำถนน 4 เลน ก็มีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ทำถนนราชดำเนิน และมีรัฐมนตรีบางคนทำถนน 4 เลนเข้าบ้านตัวเอง แต่เมื่อผมเป็นรัฐมนตรีก็เห็นการเดินทางในไทยลำบาก จึงคิดทำโครงการแฝด ถนน 4 เลน รถไฟ 4 ราง หรือรถไฟทางคู่ ซึ่งถ้ารัฐบาลชุดต่อๆ มาเข้ามาสานต่อโครงการก็คงเสร็จไปตั้งแต่ปี 2547 แล้ว ไม่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน” พ.อ.วินัย สมพงษ์ อดีต รมว.คมนาคม ในรัฐบาลชวน หลีกภัย (ชวน 1) ซึ่งริเริ่มไอเดียสร้างรถไฟทางคู่เมื่อดำรงตำแหน่งเมื่อปี 25352537 ให้สัมภาษณ์ในอีก 20 ปีให้หลัง

พ.อ.วินัย ย้ำว่า สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้รถไฟทางคู่ไม่ถึงฝั่ง เพราะนโยบายของรัฐบาลยุคที่ผ่านมา โดยเฉพาะรัฐบาลหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่พร่ำบ่นถึงการลงทุนด้านโลจิสติกส์และขนส่ง แต่ในความเป็นจริงกลับผลาญงบมหาศาลไปกับโครงการประชานิยม

“สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ มีการทุ่มเทงบในการทำประชานิยม ผมเคยอภิปรายในสภาว่า เงิน 100 บาท แต่ใช้ในการลงทุนไม่กี่สลึง และรัฐบาลพรรคไทยรักไทยหันเหความสนใจมาลงทุนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า แทนการสานต่อโครงการถนน 4 เลน และรถไฟทางคู่” พ.อ.วินัย บอก

นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ทำให้รถไฟทางคู่ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ลดต้นทุนโลจิกติกส์และการขนส่ง ตลอดจนอำนวยความสะดวก และลดเวลาเดินทางให้แก่ประชาชน 4 ภูมิภาค อยู่ในภาวะคอขวดถึงวันนี้

ต่อมาเมื่อประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตความขัดแย้งภายในชาติ หลังเหตุการณ์รัฐประหารเดือน ก.ย. 2549 เป็นต้นมา รัฐบาลขิงแก่ ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ ไม่มีเวลาเพียงพอในการผลักดันโครงการระยะยาวเช่นนี้ ในขณะที่รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช และรัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังคงเน้นภารกิจในการบริหารการเมืองมากกว่าบริหารประเทศ

กระทั่งในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้นำโครงการลงทุนระบบรางซึ่งรวมถึงรถไฟทางคู่ มาปัดฝุ่นอีกครั้ง ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 27 เม.ย. 2553 ที่อนุมัติแผนการใช้เงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเร่งด่วน 1.768 แสนล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2553-2557)

แต่ทว่าแผนการลงทุนระบบราง ที่มีการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นหัวรถจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนโครงการ ก็ยังขับเคลื่อนไปถึงฝั่งเช่นเดิม จนส่อเค้าล่มปากอ่าว เพราะมีอุปสรรคจากการบริหารจัดการในองค์กร และการไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพราะโครงการส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมในการดำเนินการ

เมื่อมีการเลือกตั้งในเดือน ส.ค. และได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้ามาบริหารประเทศ โครงการรถไฟทางคู่และการลงทุนระบบรางต่างๆ ในกรอบวงเงิน 1.768 แสนล้านบาท ถูกปรับมาอยู่ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งมี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคมสมัยนั้น เป็นหัวเรือใหญ่

“สาเหตุที่นำโครงการรถไฟทางคู่ใส่ในร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการที่ค้างมานานตั้งแต่ปี 2552 ต้องนำมารีไวซ์มาใหม่ ซึ่งเราตั้งเป้าให้การพัฒนาแล้วเสร็จภายในปี 2563 ประกอบกับแนวคิดที่ว่า หากใช้เงินงบประมาณแต่ละปีไปพัฒนา จะไม่ทราบเลยว่า แต่ละโครงการจะเสร็จเมื่อไร และทำให้โครงการล่าช้าไปเรื่อยๆ” จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ สนข.ให้เหตุผล

ที่สุดแล้วโครงการลงทุนระบบราง โดยเฉพาะการลงทุนรถไฟทางคู่ต้องสะดุดหยุดชะงักลงอีกครั้ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทตกไป โครงการรถไฟทางคู่ 13 โครงการ มูลค่าลงทุน 3.68 แสนล้านบาท ที่ถูกบรรจุในแผนกู้เงิน จึงกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

งานนี้ก็ต้องวัดกึ๋น คสช. และรัฐบาลหลังรัฐประหารว่าจะขับเคลื่อนโครงการไปจนตลอดรอดฝั่งหรือไม่

ข่าวล่าสุด

พลังงานคุมเข้มแท่นขุดเจาะอ่าวไทย สกัดโดรนป่วน ไม่กระทบการผลิต