MEGA หุ้นอนาคตไกล"วิเวก"มั่นใจ5ปีกำไรโต2เท่า
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) ได้รับเลือกเข้าคำนวณดัชนีกลุ่มหุ้นขนาดเล็กของ MSCI
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) ได้รับเลือกเข้าคำนวณดัชนีกลุ่มหุ้นขนาดเล็กของ MSCI มีผลตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. 2557 ที่ผ่านมา และยังติดโผเข้าคำนวณดัชนีหุ้น 100 หรือ SET100 ในครึ่งหลังของปี 2557 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ สำหรับบริษัทน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2556
หุ้นเมก้าฯ มีดีอะไรถึงเป็นที่ดึงดูดให้นักลงทุนไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนจนส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายมากถึงเกณฑ์ที่กำหนด ต้องฟัง “วิเวก ดาวัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมก้าฯ ให้สัมภาษณ์
ตอนนี้ไม่มีใครพร้อมมากเท่ากับเมก้าฯ ทั้งทีมงานและระบบที่วางไว้ในประเทศที่กำลังพัฒนา เหมือนอย่างที่พม่า หลายคนอยากจะเข้าไป แต่เราเข้าไปวางระบบมา 1820 ปีแล้ว มีบุคลากรที่เข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี ตอนนี้ใครจะเข้าไปก็ยากขึ้นเพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก
“เราลงทุนไปมากแล้วทั้งด้านโรงงานผลิต รวมถึงทีมงาน จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่อีก ทำให้มั่นใจว่าแผนธุรกิจที่วางไว้ ภายใน 5 ปีนี้ จะสนับสนุนให้กำไรเติบโตเป็น 2 เท่าตัวได้ตามเป้าหมาย”
ปัจจุบันเมก้าฯ มียอดขายในประเทศราว 20% ส่วนที่เหลืออยู่ในต่างประเทศจากฐานที่มีใน 29 ประเทศ ตลาดที่เข้าไปยังโตได้อีก ทั้งไทย พม่า เวียดนามและกัมพูชา ส่วนประเทศที่พัฒนาในแอฟริกาและตะวันออกกลางหลายประเทศ เช่น ไนจีเรีย มีจีดีพีโตเฉลี่ย 89% และคนเพิ่มขึ้น 34% ต่อปี
ธุรกิจของเมก้าฯ มี 3 ส่วน แต่ให้ความสำคัญ 2 ธุรกิจ คือ 1.ธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care โดยมีสัดส่วนประมาณ 60% ของกำไรและเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 64% ตลาดสำคัญอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทยที่มีมูลค่าตลาดยาราว 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนามมีมูลค่าตลาดยา 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และพม่ามีมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังมีโอกาสโต 2 เท่า เป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน 5 ปีข้างหน้า
ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเน้นกลุ่มวิตามิน อาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ไม่ได้จากการรับประทานอาหาร และสินค้าที่ขึ้นทะเบียนเป็นยา ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการผลิตยาสามัญประจำบ้านเพื่อใช้รักษาโรคทั่วไป เราพัฒนาเป็นแบบพิเศษให้ออกฤทธิ์เร็วและนานขึ้นกว่าปกติเป็นสินค้าใหม่ในตลาดยา มีทั้งการพัฒนาผลิตเองและการนำเข้า โดยเริ่มทยอยขายแล้ว และจะทำต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังผลิตยาแบรนด์ของบริษัทตามใบสั่งแพทย์ที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขาย
ธุรกิจส่วนที่ 2 ธุรกิจการจัดจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า Maxxcare มีสัดส่วนประมาณ 30% ของกำไร มีโอกาสเติบโตสูงโดยเฉพาะในพม่าเพราะลูกค้าหลายรายที่เป็นพันธมิตร บริษัทมีความพร้อมทั้งบุคลากรจำนวน 1,800 คน คลังสินค้าใน 6 เมือง เพื่อส่งสินค้าให้ร้านมีจำนวนทั้งสิ้น 2.7 หมื่นแห่ง รวมถึงในเวียดนามที่ให้บริการขนส่งกระจายสินค้าทั่วประเทศ และกัมพูชาก็เติบโตได้เช่นกัน
ทางด้านธุรกิจรับจ้างผลิต (โออีเอ็ม) มีสัดส่วนที่น้อยและมีเพียงเพื่อสนับสนุนลูกค้าที่มีอยู่เท่านั้น
สำหรับกลยุทธ์ที่จะต้องทำ 1.ให้ลูกค้าเดิมซื้อสินค้าต่อเนื่องและซื้อเพิ่มขึ้น 2.หาลูกค้าใหม่ๆ 3.การออกสินค้าใหม่ ปีนี้มีแผนออกอีก 610 ตัว และการขยายร้านค้าเพิ่ม
งานหลักของเรา คือ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ของเมก้าฯ ดีต่อสุขภาพและป้องกันการเกิดโรคได้ ควบคู่กับการดูแลด้านอาหารและออกกำลังกาย โดยยอมรับว่าต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่น เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตยั่งยืนได้ในระยะยาว ไม่ต้องการแค่หากำไรสั้นๆ
เรามีข้อมูลว่าประชากรในสหรัฐอเมริกาสัดส่วน 68% บริโภคผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น 2 ปี แต่การบริโภคผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพยังเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี สะท้อนว่าคนให้ความสนใจสุขภาพมากขึ้น
สิ่งที่เราทำไปแล้ว และจะทำต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มใน 5 ปีข้างหน้า ยอดขายจะเติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี และยังไม่นับรวมโอกาสในการเข้าซื้อกิจการที่จะเข้ามาเสริม ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ไม่ปรับขึ้น มีเพียงด้านโปรโมชั่นอาจปรับขึ้นเล็กน้อย โดยปกติจะมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารประมาณ 30-31% ของยอดขาย
ทางด้านความเสี่ยง เช่น อัตราแลกเปลี่ยนมีการป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติ ธุรกิจในต่างประเทศส่วนใหญ่มีการซื้อขายเป็นเงินเหรียญสหรัฐ และมีโอกาสในการปรับขึ้นราคาสินค้าได้ ขณะเดียวกันบริษัทมีหนี้สินที่ต่ำมาก หากจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ก็จะไม่เกิน 30 ล้านบาท/ปี
ส่วนการระดมทุนจากการขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) บริษัทก็จะนำไปลงทุนในธุรกิจเท่านั้น นักลงทุนไม่ต้องกังวลว่าจะไปลงทุนอะไรที่ไม่ถนัด เรายังโฟกัสในธุรกิจเพื่อให้เติบโตในระยะยาว
“หุ้นเมก้าฯ เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาว ผมไม่ต้องการให้นักลงทุนดูเฉพาะผลงานรายไตรมาส ควรพิจารณาในระยะยาว 13 ปี กำไรที่ลดลงในไตรมาสแรกไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง บริษัทยังมีเงินสดฝากในธนาคาร กระแสเงินสดเป็นบวก ไม่มีแผนลงทุนใช้เงินขนาดใหญ่ ธุรกิจมีสินทรัพย์ที่ดี มีหนี้น้อยอัตราหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) ต่ำ 0.9 เท่า เมื่อหักเงินฝากแล้วจะไม่มีหนี้ ส่วนนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิ หากไม่มีแผนใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ มีกระแสเงินสดและกำไรดีมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล”
จึงไม่ประหลาดใจที่หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตสูงมาก จะดึงดูดให้สถาบันในประเทศถือหุ้นสัดส่วน 8.3% ณ วันที่ 28 เม.ย. เพิ่มขึ้นจาก 8.10% เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ส่วนสถาบันต่างประเทศถือสัดส่วน 12% หนึ่งในนั้นคือ ลอมบาร์ดที่เข้ามาก่อนไอพีโอ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วมีกองทุนต่างประเทศรายใหม่ เช่น CACEIS BANK LUXEMBOURG ส่วนที่ถืออยู่แล้วก็ซื้อเพิ่มขึ้น เช่น แบงก์ออฟนิวยอร์ก จากจำนวน 3.03 ล้านหุ้น เป็น 7.23 ล้านหุ้น ซิตี้ แบงก์ จาก 4.43 ล้านหุ้น เป็น 6.38 ล้านหุ้น มอร์แกนสแตนเลย์ จาก 8 แสนหุ้น เป็น 5.58 ล้านหุ้น แต่ก็มีสถาบันต่างประเทศที่เคยถือหุ้นแล้วขายออกไปเช่นกัน
ขณะที่กลุ่มชาห์ยังคงถือหุ้นใหญ่เท่าเดิมจำนวน 465.24 ล้านหุ้น หรือ 53.80% และฝ่ายบริหารถือจำนวน 122 ล้านหุ้น ลดลงเล็กน้อยจากจำนวน 129 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14%


