posttoday

MEGA หุ้นอนาคตไกล"วิเวก"มั่นใจ5ปีกำไรโต2เท่า

09 มิถุนายน 2557

บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) ได้รับเลือกเข้าคำนวณดัชนีกลุ่มหุ้นขนาดเล็กของ MSCI

โดย...ประลองยุทธ ผงงอย

บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) ได้รับเลือกเข้าคำนวณดัชนีกลุ่มหุ้นขนาดเล็กของ MSCI มีผลตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. 2557 ที่ผ่านมา และยังติดโผเข้าคำนวณดัชนีหุ้น 100 หรือ SET100 ในครึ่งหลังของปี 2557 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ สำหรับบริษัทน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2556

หุ้นเมก้าฯ มีดีอะไรถึงเป็นที่ดึงดูดให้นักลงทุนไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนจนส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายมากถึงเกณฑ์ที่กำหนด ต้องฟัง “วิเวก ดาวัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมก้าฯ ให้สัมภาษณ์

ตอนนี้ไม่มีใครพร้อมมากเท่ากับเมก้าฯ ทั้งทีมงานและระบบที่วางไว้ในประเทศที่กำลังพัฒนา เหมือนอย่างที่พม่า หลายคนอยากจะเข้าไป แต่เราเข้าไปวางระบบมา 1820 ปีแล้ว มีบุคลากรที่เข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี ตอนนี้ใครจะเข้าไปก็ยากขึ้นเพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก

“เราลงทุนไปมากแล้วทั้งด้านโรงงานผลิต รวมถึงทีมงาน จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่อีก ทำให้มั่นใจว่าแผนธุรกิจที่วางไว้ ภายใน 5 ปีนี้ จะสนับสนุนให้กำไรเติบโตเป็น 2 เท่าตัวได้ตามเป้าหมาย”

ปัจจุบันเมก้าฯ มียอดขายในประเทศราว 20% ส่วนที่เหลืออยู่ในต่างประเทศจากฐานที่มีใน 29 ประเทศ ตลาดที่เข้าไปยังโตได้อีก ทั้งไทย พม่า เวียดนามและกัมพูชา ส่วนประเทศที่พัฒนาในแอฟริกาและตะวันออกกลางหลายประเทศ เช่น ไนจีเรีย มีจีดีพีโตเฉลี่ย 89% และคนเพิ่มขึ้น 34% ต่อปี

ธุรกิจของเมก้าฯ มี 3 ส่วน แต่ให้ความสำคัญ 2 ธุรกิจ คือ 1.ธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care โดยมีสัดส่วนประมาณ 60% ของกำไรและเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 64% ตลาดสำคัญอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทยที่มีมูลค่าตลาดยาราว 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนามมีมูลค่าตลาดยา 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และพม่ามีมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังมีโอกาสโต 2 เท่า เป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน 5 ปีข้างหน้า

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเน้นกลุ่มวิตามิน อาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ไม่ได้จากการรับประทานอาหาร และสินค้าที่ขึ้นทะเบียนเป็นยา ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการผลิตยาสามัญประจำบ้านเพื่อใช้รักษาโรคทั่วไป เราพัฒนาเป็นแบบพิเศษให้ออกฤทธิ์เร็วและนานขึ้นกว่าปกติเป็นสินค้าใหม่ในตลาดยา มีทั้งการพัฒนาผลิตเองและการนำเข้า โดยเริ่มทยอยขายแล้ว และจะทำต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังผลิตยาแบรนด์ของบริษัทตามใบสั่งแพทย์ที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขาย

ธุรกิจส่วนที่ 2 ธุรกิจการจัดจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า Maxxcare มีสัดส่วนประมาณ 30% ของกำไร มีโอกาสเติบโตสูงโดยเฉพาะในพม่าเพราะลูกค้าหลายรายที่เป็นพันธมิตร บริษัทมีความพร้อมทั้งบุคลากรจำนวน 1,800 คน คลังสินค้าใน 6 เมือง เพื่อส่งสินค้าให้ร้านมีจำนวนทั้งสิ้น 2.7 หมื่นแห่ง รวมถึงในเวียดนามที่ให้บริการขนส่งกระจายสินค้าทั่วประเทศ และกัมพูชาก็เติบโตได้เช่นกัน

ทางด้านธุรกิจรับจ้างผลิต (โออีเอ็ม) มีสัดส่วนที่น้อยและมีเพียงเพื่อสนับสนุนลูกค้าที่มีอยู่เท่านั้น

สำหรับกลยุทธ์ที่จะต้องทำ 1.ให้ลูกค้าเดิมซื้อสินค้าต่อเนื่องและซื้อเพิ่มขึ้น 2.หาลูกค้าใหม่ๆ 3.การออกสินค้าใหม่ ปีนี้มีแผนออกอีก 610 ตัว และการขยายร้านค้าเพิ่ม

งานหลักของเรา คือ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ของเมก้าฯ ดีต่อสุขภาพและป้องกันการเกิดโรคได้ ควบคู่กับการดูแลด้านอาหารและออกกำลังกาย โดยยอมรับว่าต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่น เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตยั่งยืนได้ในระยะยาว ไม่ต้องการแค่หากำไรสั้นๆ

เรามีข้อมูลว่าประชากรในสหรัฐอเมริกาสัดส่วน 68% บริโภคผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น 2 ปี แต่การบริโภคผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพยังเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี สะท้อนว่าคนให้ความสนใจสุขภาพมากขึ้น

สิ่งที่เราทำไปแล้ว และจะทำต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มใน 5 ปีข้างหน้า ยอดขายจะเติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี และยังไม่นับรวมโอกาสในการเข้าซื้อกิจการที่จะเข้ามาเสริม ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ไม่ปรับขึ้น มีเพียงด้านโปรโมชั่นอาจปรับขึ้นเล็กน้อย โดยปกติจะมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารประมาณ 30-31% ของยอดขาย

ทางด้านความเสี่ยง เช่น อัตราแลกเปลี่ยนมีการป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติ ธุรกิจในต่างประเทศส่วนใหญ่มีการซื้อขายเป็นเงินเหรียญสหรัฐ และมีโอกาสในการปรับขึ้นราคาสินค้าได้ ขณะเดียวกันบริษัทมีหนี้สินที่ต่ำมาก หากจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ก็จะไม่เกิน 30 ล้านบาท/ปี

ส่วนการระดมทุนจากการขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) บริษัทก็จะนำไปลงทุนในธุรกิจเท่านั้น นักลงทุนไม่ต้องกังวลว่าจะไปลงทุนอะไรที่ไม่ถนัด เรายังโฟกัสในธุรกิจเพื่อให้เติบโตในระยะยาว

“หุ้นเมก้าฯ เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาว ผมไม่ต้องการให้นักลงทุนดูเฉพาะผลงานรายไตรมาส ควรพิจารณาในระยะยาว 13 ปี กำไรที่ลดลงในไตรมาสแรกไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง บริษัทยังมีเงินสดฝากในธนาคาร กระแสเงินสดเป็นบวก ไม่มีแผนลงทุนใช้เงินขนาดใหญ่ ธุรกิจมีสินทรัพย์ที่ดี มีหนี้น้อยอัตราหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) ต่ำ 0.9 เท่า เมื่อหักเงินฝากแล้วจะไม่มีหนี้ ส่วนนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิ หากไม่มีแผนใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ มีกระแสเงินสดและกำไรดีมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล”

จึงไม่ประหลาดใจที่หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตสูงมาก จะดึงดูดให้สถาบันในประเทศถือหุ้นสัดส่วน 8.3% ณ วันที่ 28 เม.ย. เพิ่มขึ้นจาก 8.10% เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ส่วนสถาบันต่างประเทศถือสัดส่วน 12% หนึ่งในนั้นคือ ลอมบาร์ดที่เข้ามาก่อนไอพีโอ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วมีกองทุนต่างประเทศรายใหม่ เช่น CACEIS BANK LUXEMBOURG ส่วนที่ถืออยู่แล้วก็ซื้อเพิ่มขึ้น เช่น แบงก์ออฟนิวยอร์ก จากจำนวน 3.03 ล้านหุ้น เป็น 7.23 ล้านหุ้น ซิตี้ แบงก์ จาก 4.43 ล้านหุ้น เป็น 6.38 ล้านหุ้น มอร์แกนสแตนเลย์ จาก 8 แสนหุ้น เป็น 5.58 ล้านหุ้น แต่ก็มีสถาบันต่างประเทศที่เคยถือหุ้นแล้วขายออกไปเช่นกัน

ขณะที่กลุ่มชาห์ยังคงถือหุ้นใหญ่เท่าเดิมจำนวน 465.24 ล้านหุ้น หรือ 53.80% และฝ่ายบริหารถือจำนวน 122 ล้านหุ้น ลดลงเล็กน้อยจากจำนวน 129 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14%

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก