เจน 3 เครือสหพัฒน์ปั้นอิมเมจชูนวัตกรรมสู้แบรนด์นอก

อาณาจักรเครือสหพัฒน์รายได้ปีละกว่าแสนล้านบาท ภายใต้บริษัทในเครือกว่า 300 บริษัท ซึ่งปัจจุบันผู้นำเจเนอเรชั่นที่ 2 ของตระกูลโชควัฒนา คือเสี่ย บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ลูกนายห้าง เทียม โชควัฒนา กำลังจะส่งไม้ต่อให้กับทายาทเจเนอเรชั่นที่ 3 เข้ามาบริหารธุรกิจ

ตลอดพัฒนาการของสหพัฒน์ที่ผ่านมา มีการปรับโครงสร้างองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ขุนพลรุ่นหลานเหลน ต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ระดมความคิด และพัฒนาสินค้าใหม่ๆ หลังจากธุรกิจในยุคนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายกับการแข่งขันจากสินค้าอินเตอร์แบรนด์ ส่วนรุ่นที่ 2 จะเป็นแค่ที่ปรึกษา

ธรรมรัตน์ โชควัฒนา (เจเนอเรชั่นที่ 3 ของตระกูล) กรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น กล่าวว่า การเข้ามาบริหารอาณาจักรเครือสหพัฒน์ของเจเนอเรชั่นที่ 3 ในกลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องสำอางภายใต้ร่มเงา ไอ.ซี.ซี.ฯ กำลังเผชิญกับความท้าทาย แบรนด์สินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศ ทั้งอินเตอร์แบรนด์ และฟาสต์แฟชั่นเข้ามาเปิดตลาดในไทยและช่วงชิงกำลังซื้อ

ทั้งนี้ บริษัท ไอ.ซี.ซี.ฯ ตลอดระยะ 2 ปี ได้ปรับโครงสร้างองค์กรอย่างต่อเนื่อง โละแบรนด์ที่ไม่สร้างรายได้ออกไป 3-4 แบรนด์ ปัจจุบันนี้มีทั้งหมด 50 แบรนด์ จากนี้ไปจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และสร้างภาพลักษณ์ เทียบเท่ากับอินเตอร์แบรนด์ โดยจะเดินหน้าปั้นแบรนด์ที่ได้รับไลเซนส์ อาทิ ลาคอสและกีลาโรช แข่งขันกับอินเตอร์แบรนด์ ส่วนวาโก้ และแอร์โรว์ ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ยังครองใจตลาดคนไทยอยู่

การทำธุรกิจสินค้าแฟชั่นในยุคนี้ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ดีไซน์ควบคู่กับฟังก์ชั่นการใช้งาน ไอ.ซี.ซี.ฯ นอกจากปรับโครงสร้างภายในแล้ว ยังปรับการตกแต่งร้านค้า เพิ่มความถี่การออกคอลเลกชั่น ระบบการขนส่ง อีกทั้งเดินหน้าขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ อย่างร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามซูรูฮะ ก็เป็นช่องทางจำหน่ายเครื่องสำอาง ชุดชั้นใน ปีแรกเริ่มวางจำหน่ายสัดส่วนไม่ถึง 5% แต่ระยะยาวมากกว่า 5 ปี เพิ่มเป็น 20% ของยอดขายรวมทุกช่องทางจำหน่าย

บุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า รายได้บริษัท ไอ.ซี.ซี.ฯ ช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะกลับมาเติบโต 10% หลังจากสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้าแฟชั่นบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะยังมีการชุมนุมบางกลุ่มที่ยังทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลใจ ซึ่งบริษัทได้เตรียมจัดโปรโมชั่น กระตุ้นกำลังซื้อ หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมารายได้ติดลบ 10% ส่วนรายได้ทั้งปีเท่ากับปีที่ผ่านมา 1.3 หมื่นล้านบาท

ธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางเคเอ็มเอ กล่าวว่า หลังจากได้รับตำแหน่งให้เข้ามาบริหารธุรกิจโอซีซี หรือดูแลสินค้าเครื่องสำอาง ยอมรับว่าสินค้าไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง จากการที่มีอินเตอร์แบรนด์เข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น บริษัทจึงวางแผนปรับภาพลักษณ์สินค้าให้มีความทันสมัย รวมทั้งเร่งพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาด

ในส่วนยุทธศาสตร์ของโอซีซี บริษัทกำลังจะปั้นแบรนด์เคเอ็มเอ ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทให้แจ้งเกิดเต็มตัว จากที่ผ่านมาสินค้าในบริษัทจะเป็นแบรนด์ที่ซื้อไลเซนส์จากต่างประเทศเป็นหลัก อาทิ คัฟเวอร์มาร์ค ยังเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท

“แผนช่วงครึ่งปีหลังเปิดตัวเครื่องสำอางเคเอ็มเอ ซีเคร็ท ภายในงานสหกรุ๊ป เอ็กซ์พอร์ท เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน นอกจากนี้ยังวางแผนจัดโปรโมชั่น หลังจากรายได้ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาไม่มีอัตราการเติบโต แต่ครึ่งปีหลังสัญญาณน่าจะดีขึ้น และส่งผลให้โอซีซีมีรายได้เติบโต 5% หรือมีรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท” ธีรดา กล่าว

ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ทายาทที่จะได้รับไม้ผลัดต่อในอนาคต เวทิต โชควัฒนา กรรมการรองผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล กล่าวว่า การบริหารธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของสหพัฒน์จะขับเคลื่อนด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในตลาด โดยมุ่งพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์เพื่อความงามและสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค ล่าสุดเปิดตัวน้ำนมถั่วเหลือง มารูซัน พัฒนาสูตรจากญี่ปุ่น และเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนัลดริงก์ สตาร์ อินฟินิตี้ ลงสู่ตลาด

นอกจากนี้ ยังมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าใหม่ หลังจากร่วมทุนกับร้านสะดวกซื้อลอว์สัน 108 และร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามซูรูฮะ ซึ่งจะนำสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าไปจำหน่ายราว 510% โดยต้องเป็นสินค้าที่สอดคล้องกับช่องทางจำหน่ายนั้นๆ ด้วย ส่วนรายได้ทั้งปีสหพัฒนพิบูลคาดว่าจะเติบโต 5% หรือมีรายได้แตะ 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับงานสหกรุ๊ปแฟร์ จัดขึ้นครั้งที่ 18 ภายใต้แนวคิด An Honest World เป็นงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมทั้งเครือสหพัฒน์ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนและการส่งออก รวมทั้งการนำสินค้าลดราคาพิเศษกว่า 1,000 คูหา พร้อมกับนำโครงการ “ไทยแลนด์ เบสท์” รณรงค์ให้คนไทยใช้สินค้าไทยกลับมาจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี นับตั้งแต่ปี 2540 คาดว่างานดังกล่าว ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2629 มิ.ย. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะมีเงินสะพัด 300 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้กว่า 200 ล้านบาท