posttoday

‘รับเหมา-โรงแรม’ยิ้มออก

03 มิถุนายน 2557

CNTชี้งานเยอะขาใหญ่หยุดตัดราคาเอราวัณเผยเชื่อมั่นดีถึงจีนเกาหลีมาเที่ยว

CNTชี้งานเยอะขาใหญ่หยุดตัดราคาเอราวัณเผยเชื่อมั่นดีถึงจีนเกาหลีมาเที่ยว

คริสเตียนียืนเป้ารายได้ 9,000 ล้าน มาร์จิ้นพุ่งจากรายใหญ่หยุดลงมาแบ่ง เอราวัณเล็งลดค่าห้องดึงดูดลูกค้า

นายทรงศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT เปิดเผยว่า บริษัทได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว เพราะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะผูกพันกับภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมือง หากการเมืองมีความมั่นคงก็จะดึงการลงทุนจากต่างชาติและก่อให้เกิดการลงทุนของภาครัฐตามมา

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของประเทศดูดีขึ้นนับตั้งแต่มีการรัฐประหาร ทำให้โครงการลงทุนต่างๆ เริ่มกลับมา รวมถึงลูกค้าของบริษัทที่เคยชะลอการลงทุน เช่น กลุ่มโมเดิร์นเทรด สถานการณ์แตกต่างจากในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งมูลค่างานก่อสร้างหดตัวถึง 80% ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) บริษัท ช.การช่าง (CK) ซึ่งเน้นงานโครงสร้างพื้นฐาน หันมารับงานก่อสร้างโรงงาน

ขณะเดียวกัน พบว่ามีผู้ประกอบการรายเล็กๆ เบียดขึ้นมาแย่งงานขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูง จนบางครั้ง CNT ยอมประมูลงานโดยไม่มีส่วนต่างกำไร แต่ก็ยังไม่ชนะงานประมูล

“ในไตรมาส 1 และ 2 นี้ บริษัทจะพยายามพยุงตัว แนวโน้มในครึ่งปีหลังน่าจะกลับมาสดใส บริษัทจึงยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 9,000 ล้านบาท และสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้เท่ากับปีก่อนอยู่ที่ 6.9% แม้ว่าไตรมาสแรกจะทำได้เพียง 5.5%” นายทรงศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ 7,360 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ สัดส่วนประมาณ 60-70% ส่วนอีก 3040% รับรู้ในปี 2558

ด้านธุรกิจโรงแรม น.ส.กันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการสายบริหารการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองไร้ความรุนแรง คาดว่าไตรมาส 3 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ เพราะตามปกติธุรกิจจะพลิกฟื้นภายใน 2 เดือน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีที่ไม่ต้องเตรียมวางแผนการท่องเที่ยวนาน รอเพียงความเชื่อมั่นก็กลับมาแล้ว

“ตอนนี้ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้ไว้ที่ 24% หลังจากเพิ่งปรับลดจากเป้าหมายเดิมที่ 10-15% ไปเมื่อกลางเดือน พ.ค. บริษัทคาดว่าธุรกิจน่าจะฟื้นกลับมาตั้งแต่ไตรมาส 3 และปรับดีขึ้นมากในไตรมาส 4” น.ส.กันยะรัตน์ กล่าว

ขณะที่อัตราการเข้าพักของโรงแรมปีนี้จะอยู่ที่ 75% เทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 79% จากต้นปีถึงเดือน พ.ค. อยู่ที่ 66% แต่รายได้เฉลี่ยต่อห้องของบริษัทปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนถึง 8% หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นไตรมาสละ 2% เนื่องจากอัตราการเข้าพักในภูเก็ตและหัวหินยังปรับขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังคงให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้สูงอยู่แม้จะมีการปรับลดลงอยู่ที่ 26.2 ล้านคน จากเดิมอยู่ที่ 26.7 ล้านคน

สำหรับการบริหารความเสี่ยงของบริษัทหลังสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนบริษัทควบคุมต้นทุนการดำเนินการ ส่งคนในสาขาที่ได้รับผลกระทบไปยังสาขาที่อยู่ในจังหวัดอื่นหรือประเทศอื่นแทน รวมทั้งลดต้นทุนด้านพลังงานหรือค่าไฟฟ้าต่างๆ ลง แต่เมื่อสถานการณ์กลับเป็นปกติ บริษัทจะหันมาทำโปรโมชั่นลดราคาที่พัก แต่ปัจจุบันยังไม่มีการปรับลดราคาแต่อย่างใด

นอกจากนั้น บริษัทยังมีการบริหารความเสี่ยงในระยะยาวที่พยายามจะเพิ่มรายได้จากการเปิดโรงแรมในต่างประเทศมากขึ้น โดยภายในปี 2563 แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในกรุงเทพฯ 50% ต่างจังหวัด 32% และต่างประเทศ 20% จากปัจจุบันรายได้มาจากโรงแรมในกรุงเทพฯ 61% และต่างจังหวัด 39% โดยภายในปี 2563 บริษัทมีแผนที่จะสร้างโรงแรมขนาดประหยัดภายใต้แบรนด์ฮ็อบอินน์ทั้งหมด 70 แห่ง แบ่งเป็น ในประเทศ 40 แห่ง และต่างประเทศ 30 แห่ง เน้นในประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ละแห่งจะใช้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้จากธนาคาร กระแสเงินทุนหมุนเวียนต่อปีเฉลี่ยกว่า 1,000 ล้านบาท และเงินทุนจากการขายสินทรัพย์ให้กับบุคคลหรือเสนอขายเข้ากองทุน REITs

ข่าวล่าสุด

สัญญาณเตือนฮิวแมนนอยด์ แนวโน้มฟองสบู่หุ่นยนต์อาจกำลังมา