Quant Investing
ผู้ลงทุนหลายคนคงจะคุ้นเคยกับแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้น เช่น การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) และการลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งเป็นสองแนวทางหลักที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับคอลัมน์นี้จะขอแนะนำแนวทางการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย นั่นก็คือ การลงทุนด้วยการใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quant Investing) โดยการลงทุนที่เรียกว่า “Quant”
ผู้ลงทุนหลายคนคงจะคุ้นเคยกับแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้น เช่น การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) และการลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งเป็นสองแนวทางหลักที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับคอลัมน์นี้จะขอแนะนำแนวทางการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย นั่นก็คือ การลงทุนด้วยการใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quant Investing) โดยการลงทุนที่เรียกว่า “Quant”
“Quant” เป็นวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างกระบวนการลงทุนที่เป็นระบบ (Systematic Analysis to Investing) กลยุทธ์การซื้อขายหุ้นและการจัดการ Portfolio จะมาจากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่เป็น Output ซึ่งมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่นำเข้ามา หรือ Input นั่นเอง ข้อมูลที่นำมาประยุกต์สำหรับการลงทุนแนว Quant นั้น สามารถเป็นได้ทั้งข้อมูลทางด้านปัจจัยพื้นฐานจากงบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ อัตราส่วน Return on Equity อัตราส่วน Net Profit Margin เป็นต้น หรือข้อมูลด้านราคาและปัจจัยทางเทคนิค เช่น อัตราการเพิ่มของราคาหุ้น เส้นค่าเฉลี่ยของราคา (Moving Average) ค่า RSI และ MACD เป็นต้น โดยกระบวนการลงทุนที่สร้างขึ้นจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative) จะต้องสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมีเสถียรภาพมากพอเพื่อที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการลงทุนจริงๆ ได้ รูปด้านล่างเป็นกระบวนของวิเคราะห์ข้อมูลนำเข้าเพื่อนำไปประมวลผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการของการวิเคราะห์การลงทุนในแนว Quant ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น
บางครั้งเราก็เรียกกลยุทธ์การลงทุนแนว Quant ว่าเป็น “Black Box” เพราะผู้คิดค้นกลยุทธ์ หรือ Hedge Fund แต่ละแห่งย่อมไม่อยากเปิดเผยกลยุทธ์ของตนเอง เนื่องจากกระบวนการหรือแบบจำลองที่ถูกคิดค้นขึ้นมาสามารถลอกเลียนแบบได้ไม่ยากด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความแตกต่างในรายละเอียดที่มากมาย ดังนั้น จำนวนของกลยุทธ์ หรือ “Black Box” ที่สร้างขึ้นจึงสามารถมีความหลากหลาย (Diversity) ได้ในระดับที่เรียกว่าไม่มีสิ้นสุด (Infinity) แต่ถึงแม้จะมีความหลากหลายมากเพียงใด การลงทุนแนว “Quant” ก็มีกระบวนการพื้นฐานอยู่เพียง 4 ขั้นตอน ดังนี้
Design คือการออกแบบกลยุทธ์ในการลงทุน ในขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่เปิดกว้างมาก เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนมีอยู่ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ตัวแปรด้านปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Factors) ใช้ตัวแปรด้านเทคนิค (Technical Factors) หรือตัวแปรแบบผสม (Mix) ยกตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีค่า PE ต่ำ กลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีค่าโมเมนตัมสูง กลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำ เป็นต้น
Test คือการทดสอบกลยุทธ์ที่ออกแบบมาแล้วว่าสามารถทำกำไรได้จริงหรือไม่ การทดสอบนั้นมีได้หลากหลายวิธี สำหรับวิธีที่นิยมกันมากที่สุดคือการทดสอบ Backtesting ซึ่งหมายถึงการนำข้อมูลในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาทดสอบ โดยจำลองเหตุการณ์เสมือนว่าผู้ลงทุนกำลังใช้กลยุทธ์ที่ออกแบบขึ้นมาอยู่จริงๆ ในอดีตและทำตามกลยุทธ์ที่ออกแบบมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อดูผลว่าแท้จริงแล้วก็ปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่ออกแบบขึ้นนั้นสามารถทำกำไรได้มากน้อยเพียงใด
Optimize คือการหาค่าที่เหมาะสมที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือการปรับแต่งแบบจำลองจนกระทั่งให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจก่อนที่จะนำมาประยุกต์ใช้จริง
Evaluate คือการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือการประเมินถึงผลการดำเนินงานหรือผลตอบแทน (Performance) และความเสี่ยง (Risk) ของกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ที่สร้างขึ้นมานั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอภายใต้ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนรับได้
อย่างไรก็ดี กระบวนการพื้นฐานทั้ง 4 ข้อของการลงทุนในแนว Quant ในแต่ละขั้นตอนก็มีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งจะขอนำเสนอในคอลัมน์ต่อไป


