posttoday

อำลา SCB LIFE

21 พฤษภาคม 2557

SCB LIFE หรือ บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต เป็นหนึ่งใน Top 5 ของบริษัทประกันชีวิตในประเทศที่ใหญ่ที่สุด

SCB LIFE หรือ บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต เป็นหนึ่งใน Top 5 ของบริษัทประกันชีวิตในประเทศที่ใหญ่ที่สุด และเป็นบริษัทประกันชีวิตบริษัทแรกที่ทำ Bancassurance โดยเริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2519 มีทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท ต่อมาเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ทางนิวยอร์คไลฟ์ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ติดอันดับ Top 5 ของสหรัฐมาเข้าร่วมทุน โดยธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท นิวยอร์คไลฟ์ ถือหุ้นเท่ากัน คือ ฝ่ายละ 47.33% ส่วนที่เหลือ 5.34% ถือโดยนักลงทุนรายย่อย ทางนิวยอร์คไลฟ์ได้นำ Know How ของธุรกิจประกันชีวิตในรูปแบบใหม่ๆ เข้ามา โดยเฉพาะเรื่อง Bancassurance ทำให้บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (ชื่อในสมัยนั้น) มียอดเบี้ยประกันภัยรับโตขึ้นมาก จนกลายเป็นผู้นำในด้านยอดขายเบี้ยรับปีแรกในสมัยนั้น รองจาก AIA และไทยประกันชีวิต ทำให้บริษัทประกันชีวิตของไทยที่มีธนาคารเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หันมาให้ความสนใจในการทำ Bancassurance กันยกใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตที่ 23 ปีนี้มาแรงมาก และไตรมาสแรกปีนี้ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต สามารถทำเบี้ยประกันภัยทั้งเบี้ยรับปีแรกและเบี้ยรับรวมขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแซงหน้า AIA ไทยประกันชีวิต และเมืองไทยประกันชีวิตอย่างเหลือเชื่อ แต่พอไปดูรายละเอียด พบว่า เป็นเบี้ยรับของกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) โดยผ่านธนาคารกรุงเทพเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย เพราะว่าเบี้ยรับประเภทนี้ไม่ได้เน้นคุ้มครอง แต่เป็นกรมธรรม์ที่บริษัทประกันชีวิตออกมาเพื่อหวังดึงกลุ่มลูกค้าที่มีเงินออมเสียมากกว่า และกรมธรรม์ประเภทนี้ บริษัทประกันชีวิตต้องตั้งสำรองค่อนข้างสูง และ Margin ต่ำมาก

กลับมาที่ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต หลังจากที่นิวยอร์คไลฟ์จากอเมริกาเข้ามาถือหุ้นใหญ่ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ก็เปรียบเสมือนเสือ (ธนาคารไทยพาณิชย์) ติดปีก (นิวยอร์คไลฟ์) เนื่องจากธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารที่มีสาขามากติดอันดับ Top 3 ในสมัยนั้น ถ้าท่านสังเกตดูว่า เวลาท่านไปธนาคาร ท่านจะถูกชี้ชวนและแนะนำจากพนักงานธนาคารให้ทำประกันชีวิต หรือซื้อกองทุนรวม เหมือนเวลาที่ท่านเข้าร้านสะดวกซื้อ เวลารับเงินทอน ท่านจะได้ยินเด็กในร้านถามว่าจะรับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มหรือไม่ ทำนองนั้น พนักงานธนาคารจะมีเป้าที่ต้องพิชิตให้ได้ในแต่ละเดือน ไตรมาส และปี ในด้านขายธุรกรรมทางการเงินเหล่านี้ เพราะว่าเป็นหนึ่งใน KPI ของพนักงานทุกคนทุกระดับ ทำเอาพนักงานธนาคารเครียดไปตามๆ กัน แต่ส่งผลดีกับผลประกอบการทั้งบริษัทแม่ คือ ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทลูก คือ ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ โดยเฉพาะ SCNYL มีเบี้ยรับและผลกำไรดีขึ้นทุกๆ ปี เท่าที่ผมได้รวบรวมผลประกอบการย้อนหลังตั้งแต่ปี 2548 ที่ SCNYL ทำกำไรได้ถึง 4,734.17 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรเติบโตแบบ CARG (8 ปี) = 41.80% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบทบต้นที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ Mai จนผมสามารถกล่าวได้เต็มคำว่า เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดีและโดดเด่นที่สุดในตลาด ตัวผมเองก็ซื้อหุ้นบริษัทนี้ไว้เมื่อ 78 ปีที่แล้ว ในราคาหุ้นละ 70 บาท เป็นหุ้นตัวเดียวที่ผมถือลงทุนยาวนานขนาดนี้ และเป็นหุ้นที่สร้างผลกำไรให้ผลอย่างมหาศาล ช่วง 7 ปีกว่าๆ ผมได้รับเงินปันผลไป 123.90 บาท แต่เงินปันผลก็เกินเลยจำนวนเงินที่ผมซื้อหุ้นตัวนี้ไปแล้ว มิหนำซ้ำราคาหุ้นปัจจุบันก็อยู่ที่ราคาประมาณ 1,100 บาท โดยเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ ราคา 1,210 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุน 1,805.57% นี่คือ มหัศจรรย์ของผลตอบแทนจากการลงทุน ถ้าท่านเลือกหุ้นที่จะลงทุนให้ถูกต้อง

เมื่อปี 2551 นิวยอร์คไลฟ์ได้มีนโยบายจะถอนการลงทุนในบางประเทศ โดยไทยเป็นประเทศหนึ่งที่จะถูกถอนการลงทุน ทางนิวยอร์คไลฟ์ อเมริกาจึงตัดสินใจขายหุ้นในส่วนที่ตนถืออยู่ใน SCNYL 47.33% ให้ SCB ในราคา 266.89 บาท ซึ่งขณะนั้นราคา SCNYL ในตลาดอยู่ที่ 500 กว่าบาท ทำให้ราคาหุ้นไหลลงอย่างรวดเร็วไปทำจุดต่ำสุดที่ 302 บาท หลังจากนักลงทุนหายตกใจ และเข้าใจแล้วว่าการขายหุ้นดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับนักลงทุนรายย่อย ราคาก็ดีดกลับไปสู่ระดับ 500 กว่าบาทอย่างรวดเร็ว และขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาอยู่แถว 1,000 กว่าบาท ในปัจจุบัน การที่นิวยอร์คไลฟ์ขายให้ SCB ในราคาต่ำคงเป็นเพราะว่า

1)การที่ได้มาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SCNYL ก็เพราะ SCB

2)ตามมารยาทจะขายหุ้นส่วนของตนก็ควรจะขายให้ Partner ก่อน

3)นิวยอร์คไลฟ์เองก็ได้ผลตอบแทนถึง 2,557% ภายในเวลาประมาณ 11 ปี ที่เข้ามาถือหุ้นใน SCNYL (นิวยอร์คไลฟ์เข้ามาปี 2543) นับว่าเป็นผลตอบแทนที่มากโขอยู่

4) นิวยอร์คไลฟ์ เป็นคน Approve SCB ก่อน ตอนที่จะขายล่าสุด SCB ประกาศที่จะเอา SCB LIFE ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นทั้งหมดที่ราคา 1,117.25 บาท เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการกระจายการถือหุ้นรายย่อยไม่ครบถ้วนมาหลายปีแล้ว ดังนั้น ท่านที่มีเงินเย็นๆ ไม่ได้ทำอะไรภายใน 46 เดือน ถ้าหุ้นตัวนี้ลงมาต่ำกว่าราคารับซื้อคืนมากๆ ก็น่าสนใจซื้อลงทุนเหมือนฝากเงินประจำแบบ 46 เดือน โดยคำนวณส่วนต่างให้คุ้มค่ากว่าการฝากธนาคารสัก 3% ขึ้นไป ก็ไม่เลวนะครับ

อนึ่ง ถ้าท่านอยากจะเรียนรู้วิธีการลงทุนในหุ้นและอสังหาฯ ให้ได้ผลตอบแทนมากๆ อย่างผม ลองมาลงเรียนคอร์สการลงทุนที่ผมจะจัดขึ้น ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ ติดต่อที่โทร.081-835-9274 หรือ 088-274-0434 นะครับ

ข่าวล่าสุด

Smart City ดันอาคารสีเขียวพุ่ง 55% ชูเวลเนสยกระดับคุณภาพชีวิต