posttoday

เส้นทาง "ผ้าบาติกมาเลย์"ผงาดไกลสู่ตลาดโลก

16 พฤษภาคม 2557

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครคาดคิดว่า หญิงสาวชาวมาเลย์ในวัยเพียง 23 ปี อย่าง “ฮัสนา อมิน”

โดย...ลภัสรดา ภูศรี

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครคาดคิดว่า หญิงสาวชาวมาเลย์ในวัยเพียง 23 ปี อย่าง “ฮัสนา อมิน” จะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน เจ้าของบริษัท เอชเอ็นเอ โกลบอล รีซอร์ส ผู้ส่งออกผ้าบาติกในรัฐเคดาห์ของมาเลเซีย ที่สามารถเจาะตลาดในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งสิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และกำลังรุกขยายตลาดไปยังสหรัฐและสหภาพยุโรปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

แต่เพราะความกล้าที่จะลงมือทำ ผนวกกับความสามารถในการสร้างสรรค์สินค้าให้โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนชั้นดี ทำให้สาวอมินประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้

ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของเส้นทางธุรกิจส่งออกผ้าบาติกของอมิน ถือกำเนิดจากความชื่นชอบผ้าบาติกลวดลายสวยงามแปลกตาเป็นการส่วนตัว บวกกับความรู้และความคุ้นเคยเกี่ยวกับการผลิตผ้าบาติกที่สั่งสมมาจากผู้เป็นยาย ผลักดันให้สาวมาเลย์ผู้นี้ตัดสินใจเบนเข็มชีวิตการเป็นนักศึกษาออกมาเป็นเจ้านายตัวเองเต็มตัว โดยเริ่มต้นจากการรับสินค้าจากผู้ผลิตผ้าบาติกที่มีอยู่เดิมในตลาดมาขายต่อ

ภายหลังจากทำไปได้ร่วมเดือน สาวอมินก็พบว่าการรับสินค้ามาขายต่อ ไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ตามที่คาดไว้ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันราคาสู้กับผู้ผลิตผ้าบาติกรายใหญ่ที่ควบตำแหน่งเป็นผู้ขายเองได้

อมินจึงตัดสินใจควักกระเป๋านำเงินเก็บพร้อมระดมทุนจากคนใกล้ชิดได้รวม 4 หมื่นริงกิต (ราว 4 แสนบาท) ลงทุนเปิดธุรกิจผลิตผ้าบาติกเองเสียเลย ภายใต้คอนเซปต์ สร้างสรรค์ผ้าบาติกให้โดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มากที่สุด

“หากต้องการดึงดูดความสนใจ เราจำเป็นต้องออกแบบชุดผ้าบาติกให้แตกต่างกับที่มีอยู่ในตลาด โดยขณะนี้ผู้ผลิตผ้าบาติกส่วนใหญ่มักผลิตเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมแบบเดียวสำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวันเท่านั้น เราจึงดีไซน์ลวดลวยและรูปแบบผ้าบาติกให้สามารถสวมใส่ได้ในหลากหลายโอกาส ทั้งใส่ในชีวิตประจำวัน ไปเที่ยวทะเล ดินเนอร์หรู หรือแม้แต่งานพิธีที่เป็นทางการ” อมิน ระบุ

ความโดดเด่นของสินค้านี่เอง ทำให้อมินสามารถเจรจาส่งออกสินค้าเพิ่มเติมกับผู้ประกอบการจากทั่วทุกมุมโลก ภายในงานประชุมผู้ประกอบการโลกเมื่อปี 2013 ที่ทางกระทรวงการคลังมาเลเซียจัดขึ้น จนในที่สุดสามารถปิดดีลเป็นซัพพลายเออร์หลักให้กับแบรนด์เสื้อผ้าแดนจิงโจ้ที่มีชื่อว่า “คาฟทัน ควีน” ได้สำเร็จ

ทั้งนี้ ในแต่ละเดือนบริษัทสามารถผลิตผ้าบาติกทั้งชุดคาฟตันและผ้าบาติกเพนต์ลายต่างๆ ได้ราว 3,000 ชิ้น มีรายได้เหนาะๆ ตก 34 หมื่นริงกิต (ราว 34 แสนบาท)

และหากสามารถขยายตลาดส่งออกสินค้าได้ตามแผนที่วางไว้ อมินคาดว่าในปีหน้าจะสามารถส่งออกเพิ่มเป็นเท่าตัวที่ 6,000 ชิ้น สร้างรายได้เป็นดับเบิลอยู่ที่ระหว่าง 67.5 หมื่นริงกิต (ราว 67.5 แสนบาท) และเพื่อรองรับความต้องการสินค้าจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อมินยังเตรียมแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตใหม่ที่มีขนาดใหญ่ มูลค่า 1.3 แสนริงกิต (ราว 1.3 ล้านบาท) ในปีหน้าอีกด้วย

และแม้ว่าในฐานะผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ปัญหาต้นทุนถือเป็นภาระหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากต้นทุนสินค้าสำคัญอย่างผ้าคอตตอนและผ้าไหม ปรับราคาสูงขึ้นถึง 30% จากเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

กระนั้นก็ตาม อมินยังคงมั่นใจถึงอนาคตของธุรกิจ เนื่องจากเจ้าตัวให้ความสำคัญกับการเสาะหาซื้อวัตถุดิบจากแหล่งผลิตใหญ่ที่มีคุณภาพดีในราคาคุ้มทุน และเมื่อนำมาผนวกกับดีไซน์ที่สร้างสรรค์ ทำให้เจ้าตัวสามารถตั้งราคาที่แข่งขันได้

“ปัจจุบันเรานำเข้าวัตถุดิบหลัก เช่น ผ้าคอตตอนจากอินโดนีเซียและจีนที่มีราคาอยู่ที่ 240 ริงกิตต่อม้วนผ้าความยาว 80 เมตร ซึ่งมีราคาสูงกว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้วถึง 30% ขณะที่ราคาผ้าไหมปรับตัวขึ้นถึง 3 เท่า เราจึงให้ความสำคัญใน 2 ส่วน คือ ราคาของวัตถุดิบและดีไซน์สินค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าไปอีกขั้น” อมิน ระบุ โดยราคาขายส่งชุดคาฟตันสำเร็จรูปและผ้าบาติกลวดลายต่างๆ อยู่ที่ชิ้นละ 19-500 ริงกิต (ราว 190-5,000 บาท) ขณะที่หากเป็นสินค้าที่สั่งทำขึ้นโดยเฉพาะอาจมีราคาสูงถึง 120-2,000 ริงกิต (ราว 1,200-2 หมื่นบาท) ทีเดียว

ข่าวล่าสุด

ชายแดนไทย–กัมพูชาปะทะเดือด เกมอำนาจยืดเยื้อข้ามปีใหม่