ราคา ICHI ไม่สะท้านบีโอไอ
หุ้นบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงอย่างต่อเนื่อง
หุ้นบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดระดับ 2,005 ล้านบาท ของวันที่ 2 พ.ค. และราคาหุ้นวิ่งขึ้นสูงสุดถึง 19.80 บาท มาปิดที่ระดับ 19.40 บาท ราคา ICHI ที่ปรับตัวขึ้น ไม่สะทกสะท้านต่อข่าวร้ายที่โครงการขยายกำลังการผลิตชาเขียวถูกที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตีกลับไปทบทวนรายละเอียดใหม่
เล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินที่นำหุ้น ICHI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ชี้แจงกรณีบีโอไอตีกลับโครงการลงทุนโรงงานผลิตน้ำผลไม้ของ ICHI มูลค่า 2,400 ล้านบาท ว่า เป็นโครงการเฟส 2 ที่ยื่นบีโอไอระหว่างขอเข้าจดทะเบียนใน ตลท. ซึ่งไม่ได้ระบุในการยื่นแบบแสดงรายการ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า โครงการนี้จะต้องได้รับการส่งเสริมการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในไฟลิ่งมีแต่ระบุว่า โครงการผลิตชาเขียวโครงการแรกได้รับอนุมัติส่งเสริมจากบีโอไอแล้ว ดังนั้นในกรณีนี้บริษัทซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งนี้หนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 300 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 13 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,900 ล้านบาทนั้น ระบุว่า เงินที่ระดมทุนได้นอกจากนำไปชำระหนี้และเงินทุนหมุนเวียนแล้ว จะนำเงินจำนวน 800 ล้านบาท ไปใช้ขยายโรงงานเฟส 2 บางส่วน ภายในปี 2557 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 600 ล้านขวดต่อปี เพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศและส่งไปขายยังต่างประเทศ
หุ้น ICHI ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก และต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้าซื้อขายใน ตลท. เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2557 จนส่งผลให้หุ้นตัวนี้แจกกำไรให้แก่คนจองซื้อถึงหุ้นละ 6.40 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 49%
OISHI วอลุ่มแรง
หุ้นบริษัท โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) ผู้นำในธุรกิจชาเขียวพร้อมดื่ม ก็มีมูลค่าการซื้อขายหนาตามากถึง 2,249 ล้านบาท ด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นกว่า 4% อย่างไรก็ดี หลังจากผู้บริหารให้ข้อมูลต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า ในปี 2556 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจชาเขียวสูงถึง 35% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งในตลาดประมาณ 1% จากมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท และอัตรากำไรยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นด้วยจากการลดต้นทุน รวมถึงการเข้ามาซื้อหุ้น OISHI เพิ่มเป็น 2.85% ของนักลงทุนรายใหญ่ชื่อดัง “ทวีฉัตร จุฬางกูร” เนื่องจากบริษัทมีจุดแกร่งหลายด้าน
มารุต บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) เปิดเผยว่า บริษัท โออิชิ จะอาศัยเครือข่ายของบริษัทพันธมิตรทั้งจากกลุ่มบริษัท เสริมสุข และเอฟแอนด์เอ็น กรุ๊ป ในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในส่วนของตลาดในประเทศจะผลักดันให้มีการเติบโตสูงกว่าการเติบโตอุตสาหกรรม ขณะที่ตลาดต่างประเทศบริษัทก็ได้เริ่มวางจำหน่ายสินค้าโออิชิไปยังประเทศลาวและกัมพูชาแล้ว จนมีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ของทั้งสองประเทศ หรือประมาณเกือบ 50%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนรุกตลาดวางสินค้าไปยังประเทศใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และพม่า อย่างไรก็ดี ภายในเดือน ต.ค.นี้ บริษัทจะมีการเพิ่มสายการผลิตที่ 3 หรือเพิ่มกำลังการผลิตอีกเดือนละ 18 ล้านชิ้น จากปัจจุบันดำเนินการผลิต 60 ล้านชิ้นต่อเดือน หรือใช้กำลังการผลิต 60% ของกำลังการผลิตรวม ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรองรับกับแผนที่ต้องการขยายไปยังตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของโออิชิมีผู้ถือหุ้นรายย่อยได้แสดงความกังวลต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทที่เห็นอัตราการลดลงมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2554 ที่ทำได้ 8% ปี 2555 เหลือ 5.6% และปี 2556 ลดลงเหลือเพียง 3.7% ในประเด็นนี้ มารุต ชี้แจงว่า เป็นเพราะที่ผ่านมาธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียวมีการแข่งขันในอัตราที่สูง ขณะที่บริษัทเองพยายามที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาด แต่จากนี้ไปบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นด้วยการลดต้นทุนการผลิต และจะใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งทำให้เชื่อว่าจะสามารถมีอัตราการทำกำไรสูงกว่าปีที่ผ่านมา
เก็งกำไร บจ.
ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นจากแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,421.48 จุด เพิ่มขึ้น 0.95% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 4.27% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 31,391.52 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนสถาบันและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปิดที่ 424.68 จุด เพิ่มขึ้น 1.83% จากสัปดาห์ก่อน


