posttoday

ปาเกียว

16 เมษายน 2557

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ท่านที่ไม่ได้ออกไปไหนคงมีโอกาสได้ชมมวยนัดชิงแชมป์โลก รุ่นเวลเตอร์เวต ระหว่าง “แมนนี ปาเกียว” ยอดนักมวยชาวฟิลิปปินส์ และ ทิโมธี แบรดลีย์ แชมป์โลกรุ่นดังกล่าวชาวอเมริกันเหมือนกับผม

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ท่านที่ไม่ได้ออกไปไหนคงมีโอกาสได้ชมมวยนัดชิงแชมป์โลก รุ่นเวลเตอร์เวต ระหว่าง “แมนนี ปาเกียว” ยอดนักมวยชาวฟิลิปปินส์ และ ทิโมธี แบรดลีย์ แชมป์โลกรุ่นดังกล่าวชาวอเมริกันเหมือนกับผม

อย่างที่ทราบกันครับ แม้ลีลาและท่วงท่าของเขาจะช้าไปตามวัย แต่ “เดอะแพ็กแมน” วัย 35 จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ทวงเข็มขัดแชมป์โลกมาได้สำเร็จ

เดิมที ปาเกียว เป็นคนยากจนครับ ยากจนมาก เริ่มต้นก็ได้ค่าตัวขึ้นชกเพียงครั้งละ 100 เปโซ หรือราว 2.25 เหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่ด้วยพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ ทำให้เขาคว้าใจแฟนมวยทั่วโลก ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นนักกีฬาที่ได้รับค่าตัวสูงเป็นอันดับ 14 ของโลก ในปี 2556 ศึกล่าสุด ปาเกียวได้รับค่าตัวถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่าตอนเริ่มต้น 8.88 ล้านเท่า

พูดกันถึงเรื่องของปาเกียวมากๆ ผมรู้สึก “อดไม่ได้” ที่จะมองอนาคตของประเทศฟิลิปปินส์ไปจนถึงอนาคตของอาเซียน

เพราะความฝันสูงสุดของปาเกียว คือ เป็น “ประธานาธิบดี” ฟิลิปปินส์

แม้ว่าปาเกียวจะไม่สามารถลงสมัครชิงประธานาธิบดี ในการชิงตำแหน่งปี 2559 นี้ได้ เนื่องจากอายุยังไม่ถึง 40 ปี ตามเกณฑ์คุณสมบัติผู้สมัคร แต่ตั้งแต่ปี 2553 ที่ผ่านมา ปาเกียวก็คว้าตำแหน่ง สส.ซารังกานี มาได้ ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกสู่เวทีการเมืองอย่างเต็มตัว ซึ่งกลายเป็นคนที่ประกอบอาชีพทั้งนักมวยและนักการเมืองไปพร้อมกัน

ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นนักมวยการเมือง นักการเมืองมวย นักการมวยเมือง หรืออะไรดี (ฮา)

ลองนึกไปด้วยกันสิครับ ถ้าหลังปี 2565 มีการเลือกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ใหม่อีกรอบ แล้วนักมวยระดับโลกคนนี้กลายเป็นผู้นำประเทศขึ้นมาจะเป็นอย่างไร

ถ้าเปรียบเทียบกันด้วยประวัติการใช้ชีวิตก็ต้องบอกว่าปาเกียวมี “ระเบียบการใช้ชีวิต” ดีกว่านักมวยอาเซียนและนักมวยระดับโลกค่อนข้างมาก สังเกตว่านักมวยไทยพอประสบความสำเร็จ ได้เหรียญทอง ได้เข็มขัดมาสักพัก ก็จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แล้วก็หมดตัวอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับ “ไมค์ ไทสัน” นักมวยผิวสีซึ่งเคยมีชื่อเสียง มีค่าตัวระดับตำนานก็สิ้นเนื้อประดาตัวลงในที่สุด

ดังนั้น ถ้าปาเกียวเป็นผู้นำ ฟิลิปปินส์ก็อาจได้ผู้นำที่มีระเบียบมากคนหนึ่ง และมาช่วยผลักดันอาเซียนให้มีระเบียบไปด้วย

แต่ถ้ามาพิจารณากันจาก “คดี” เมื่อปลายปีที่แล้วกรมสรรพากร (BIR) ของฟิลิปปินส์สั่งอายัดบัญชีธนาคารของปาเกียวทุกบัญชี โดยอ้างว่าปาเกียวไม่ได้เสียภาษีในปี 2551-2552 รวม 2,200 ล้านเปโซ หรือราว 49.58 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้คดีดังกล่าวจะจบไปแล้ว เพราะปาเกียวอ้างว่าได้จ่ายภาษีให้สหรัฐอเมริกาไปแล้ว ไม่ต้องจ่ายซ้ำให้ที่ฟิลิปปินส์ แต่ก่อนหน้านั้นปาเกียวก็เคยมีปัญหาเรื่องไม่ยื่นเอกสารชี้แจงการเสียภาษีหลายครั้ง

จริงๆ ผมไม่เกี่ยงเลยครับ ว่าผู้นำแต่ละประเทศในอาเซียนจะเคยประกอบอาชีพอะไรมา สำคัญคือ 1.เมื่อถึงเวลาต้องทำงานเป็น ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ใช้เวลาเรียนรู้นาน 2.ต้องทำงานจริง เพราะทำเป็นอย่างเดียวจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเป็นผู้นำ “เกียร์ว่าง” และ 3.เป็นตัวอย่างที่ดี ให้แก่คนในสังคม เพื่อผลักดันสังคมระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคให้ดีขึ้นต่อไป

ผมยังไม่รู้ว่าปาเกียวจะทำงานเป็นและทำงานจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเสียวนิดๆ ว่าอีก 89 ปีข้างหน้า อาเซียนจะได้ผู้นำที่ตุกติก ไม่แม้กระทั่งจะเสียภาษีให้ประเทศตัวเองอีกคนหรือไม่

อาเซียนบอบช้ำกับผู้นำที่ “ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี” มามากพอแล้วครับ

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’