posttoday

“วิโรลา กรุ๊ป”แบรนด์ท้องถิ่นบุกตลาดโลก

02 เมษายน 2557

สู่รุ่นที่ 4 แล้วของตระกูลสัจเดว จากอักรา ที่ประสบความสำเร็จในการนำ “วิโรลา กรุ๊ป” ธุรกิจเครื่องหนังและรองเท้า

โดย...เสาวลักษณ์ ขันกสิกรรม

สู่รุ่นที่ 4 แล้วของตระกูลสัจเดว จากอักรา ที่ประสบความสำเร็จในการนำ “วิโรลา กรุ๊ป” ธุรกิจเครื่องหนังและรองเท้า ซึ่งมีมูลค่าราว 2000 ล้านรูปี ก้าวไกลสู่ทั้งตลาดอินเดียและตลาดโลก

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1969 ในช่วงเริ่มธุรกิจค้าขายเครื่องหนังในชื่อ “วิโรลา เลธเธอร์ส” ธุรกิจเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียงครึ่งชั้น และผลิตรองเท้าเพื่อขายตลาดภายในประเทศเท่านั้น แต่การตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นศูนย์กลางเครื่องหนังขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดีย ทำให้ธุรกิจของตระกูลสัจเดวเติบโตได้ดี จนกระทั่งบริษัทเล็กๆ กลายมาเป็นวิโรลา กรุ๊ป ในปี 1989

หลังผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วเกือบทศวรรษ ซูซิล สัจเดว และน้องชาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ตัดสินใจเร่งเครื่องบริษัท ด้วยการกระโจนเข้าสู่การผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ “เราเรียกบริษัทใหม่นี้ว่า วีโรลา อินเตอร์เนชันแนล” ซูซิล หัวเรือใหญ่ของบริษัทที่เข้ามาร่วมพัฒนาบริษัทของครอบครัวตั้งแต่อายุ 18 กล่าว

โดยความสำเร็จครั้งใหญ่ของสองพี่น้องตระกูลสัจเดว เริ่มขึ้นเมื่อปี 2007 จากรองเท้าแบรนด์ “แอลเบอร์โต เทอร์เรสซี” ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์รองเท้าจากต่างชาติเพียง 3 แบรนด์เท่านั้น ที่สามารถบุกตลาดยุโรปได้ และทำให้ วิโรลา อินเตอร์เนชันแนล ติด 1 ใน 3 ของบริษัทผู้ส่งออกในอักรา “จุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท คือ การเข้าสู่ตลาดส่งออก ที่ทำให้ธุรกิจเริ่มขยายตัวมาขึ้น” ซูซิล กล่าว

อย่างไรก็ตาม สองพี่น้องสัจเดวก็ต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจจากปัญหาที่เกิดขึ้น “การส่งสินค้าครั้งแรกเกิดปัญหามาก เนื่องจากความล่าช้า แต่เราก็เรียนรู้จากปัญหานี้ เลยตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตรองเท้าขึ้นอีกแห่งภายใน 6 เดือน จนสิ่งนี้กลายมาเป็นจุดแข็งของเราและช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่งคนอื่นๆ” ซูซิลกล่าวถึงโรงงานล่าสุดที่สร้างรายได้มหาศาลและยังผลิตสินค้าป้อนสู่โรงงานอื่นๆ อีกด้วย

“รองเท้าสตรีในปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 55-60% ของธุรกิจวิโรลา อินเตอร์เนชันแนลทั้งหมด” ทั้งนี้ ซูซิลและน้องชายชี้ว่า ผลกำไรที่ได้รับทุกวันนี้มาจากการเรียนรู้ในสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ซึ่งช่วยให้รู้ว่าต้องเลี่ยงจุดไหนที่อาจกระทบต่อธุรกิจได้ “พ่อสอนว่า ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับแหล่งผลิตที่ไม่น่าไว้ใจ ทำให้เราต้องพิจารณาเรื่องเครดิตล่วงหน้าหรือการปรับราคาเมื่อชำระด้วยเงินสด ซึ่งเป็นเรื่องยากมากในการทำงาน เนื่องจากลูกค้ามีทางเลือกมากในการชำระเงิน แต่คู่ค้าส่วนใหญ่มั่นใจในตัวเรา และนั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อว่า ทำให้เราอยู่ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน”

ปัจจุบัน ธุรกิจเริ่มส่งผ่านไปยังรุ่นที่ 4 โดยลูกชายของซูซิล “อิชาน สัจเดว” เริ่มเข้ามาทำงานกับบริษัทได้ 4 ปีแล้ว และมีแผนที่จะเปลี่ยนธุรกิจของครอบครัวจากการเป็นโรงงานผู้ผลิตมาเป็นผู้จำหน่ายด้วยตนเอง “ผมว่าอินเดียมีศักยภาพสูงมากในการสร้างแบรนด์ของตนเอง เราจึงลงทุนอย่างหนักในงานวิจัยและพัฒนาเป็นเวลาเกือบปี เพื่อวิเคราะห์ตลาด” อิชานกล่าว จนกระทั่งแบรนด์ แอลเบอร์โต เทอร์เรสซีสามารถรุกตลาดตะวันออกกลางได้ในปี 2011 และมีจุดจำหน่ายในอินเดียเพิ่มขึ้นถึง 600 แห่งในปี 2013 ทำให้รองเท้าของ วิโรลา มีสัดส่วนการจำหน่ายสูงถึง 20% จากทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งเฉพาะแอลเบอร์โต เทอร์เรสซี เพียงแบรนด์เดียวก็มีสัดส่วนมากถึง 10%

ทั้งนี้ หลังเรียนจบ อิชานเดินทางไปเยอรมนีและตัดสินใจทำงานในส่วนเครื่องแต่งกาย แม้ว่าครอบครัวจะทำธุรกิจรองเท้าก็ตาม “คุณต้องท้าทายตัวเองในการทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ว่า คุณคือผู้นำที่ดีในธุรกิจนั้น คุณจะต้องมีแรงจูงใจในการทำงานทุกนาทีและกล้าที่จะฝ่าความเสี่ยงต่างๆ เพื่อก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่า” อิชาน รุ่นที่ 4 ของวิโรลา กรุ๊ป ในวัย 27 ปี กล่าวถึงความท้าทายใหม่ๆ ในอนาคตของตนเอง

ข่าวล่าสุด

คดีพลิก สหรัฐฯปลดล็อกขายชิปให้จีน แต่รัฐบาลจีนอาจไม่อยากซื้อ