โรงทอขนแกะแอนเดอร์สันจัดการปัญหาก่อนลุยธุรกิจ
หากเอ่ยถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอจากขนแกะ ประเทศที่ต้องติดโผอยู่ในอันดับต้นๆ ในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกย่อมหนีไม่พ้น
โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา
หากเอ่ยถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอจากขนแกะ ประเทศที่ต้องติดโผอยู่ในอันดับต้นๆ ในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกย่อมหนีไม่พ้น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจีน โดยน้อยคนนักที่จะรู้ว่าครั้งหนึ่งอุตสาหกรรมนี้ในสหรัฐเคยรุ่งเรืองและเฟื่องฟูไม่แพ้กัน ก่อนที่อันดับในปัจจุบันของสหรัฐจะร่วงหล่นมาอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก
กระนั้นสำหรับ สเตเฟอนีย์ แอนเดอร์สัน สาวใหญ่ชาวสหรัฐในมินนิโซตา กลับเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอจากขนแกะยังพอมีช่องทางให้เติบโตได้อยู่ในตลาดสหรัฐ เหตุผลเพราะปัจจุบันเครื่องนุ่งห่มจำพวก ผ้าห่ม ผ้าพันคอ และสเวตเตอร์ หรือสารพัดเสื้อผ้าจากไหมพรมขนแกะเริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง ส่วนหนึ่งเนื่องจากกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะที่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ทุกวันนี้เจ้าของฟาร์มแกะในพื้นที่ส่วนมากกำลังปวดหัวกับการวิ่งหาโรงทอขนแกะ ซึ่งบางครั้งต้องส่งออกข้ามแดนไกลถึงแคนาดาจนยิ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนภาระให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจนี้
ช่องทางดังกล่าวส่งผลให้แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการถักนิตติ้งมือฉมัง ตัดสินใจขายบ้านและรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิด “นอร์ทเทิร์น วูลเล็น มิลส์” โรงทอขนาดกลางในพื้นที่ชนบทห่างไกลของเมืองมินนิโซตา มูลค่าราว 7.55 แสนเหรียญสหรัฐ
“ฉันยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างบ้าบิ่นพอสมควร แต่ฉันรู้ว่าตลาดสหรัฐรวมถึงเจ้าของฟาร์มแกะในพื้นที่ต้องการโรงทอขนแกะหรือขนสัตว์” แอนเดอร์สัน ระบุ
แน่นอนว่า แม้จะเป็นมือใหม่ แต่แอนเดอร์สันก็ไม่ได้ตัดสินใจอย่างบุ่มบ่าม เนื่องจากเจ้าตัวได้ลงทุนศึกษาอย่างจริงจังจนพบว่าปัญหาสำคัญที่ทำให้ขนแกะสหรัฐไม่ได้รับความนิยมเท่ากับที่ออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ อยู่ที่ความนุ่มและเหนียวทน ซึ่งหากเป็นในอดีตคงมีแต่ต้องทำใจ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้แอนเดอร์สันค้นคว้าศึกษาอย่างจริงจังจนค้นพบนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้ได้กรรมวิธีการทอขนสัตว์เป็นไปอย่างมีคุณภาพด้วยเส้นใยที่หนานุ่ม ยืดหยุ่น และทนทาน
“เราเริ่มต้นจากเครื่องทอมือสองที่นำเข้าจากสเปน ต้องงมกับการศึกษาวิธีใช้อยู่พักใหญ่ แต่พอเข้าที่เข้าทางแล้วอะไรๆ ก็ง่ายขึ้น เราอาศัยการบอกแบบปากต่อปาก และรักษาคุณภาพให้ได้มาตรฐานเดียวกันทุกครั้ง โดยทุกวันนี้เราสามารถทอไหมพรมขนแกะได้วันละ 1,000 ปอนด์ ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล” แอนเดอร์สัน กล่าว
ทั้งนี้ ถึงจะเพิ่งเปิดตัวได้เพียงปีกว่า แต่แอนเดอร์สันกล่าวชัดเจนว่าด้วยความที่โรงทอของตนไม่ติดปัญหาเรื่องระยะทาง ทำให้ประหยัดทั้งรายจ่ายและเวลา รวมถึงช่วยรักษาคุณภาพขนแกะที่อาจเสียหายจากการเดินทางไกล ทำให้เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ทั้งหลาย ไม่เฉพาะแกะ แต่รวมถึงวัวไบซันและตัวแคชเมียร์ หันมาใช้บริการจากโรงทอของแอนเดอร์สันมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น กิจการของแอนเดอร์สันยังมีแนวโน้มไปได้สวย เมื่อเริ่มมีคำสั่งซื้อไหมพรมขนแกะจากผู้ประกอบการรายย่อยรายอื่น เช่น ฟาร์มทูแฟชั่น ซึ่งมุ่งนำเส้นไหมพรมเหล่านี้มาสร้างสรรค์เป็นงานแฟชั่นเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ทำมันเสี่ยงมาก แต่ธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง และฉันก็รู้ตัวดีว่ากำลังเสี่ยงกับอะไร และรู้ดีอีกว่าต้องเสี่ยงอย่างไรจึงจะส่งผลดี” แอนเดอร์สัน สรุป


