ถูกฟ้องล้มละลายแต่ศาลไม่พิพากษาให้ล้มละลาย
....เดชา กิตติวิทยานันท์
วันนี้ขอนำคำถามของผู้อ่านที่ถามผ่านคอลัมน์ทนายคลายทุกข์ กรณีเป็นหนี้ธนาคาร เช่น กู้เงินซื้อบ้าน โอดี ต่อมาถูกดำเนินคดีทางแพ่ง หลังจากนั้นถูกยึดทรัพย์ และมีการขายทอดตลาดหลักประกัน แต่ยังมีหนี้สินที่ค้างชำระอยู่ ถ้าเป็นบุคคลธรรมดามีหนี้สินค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท เป็นรูปบริษัทมีหนี้สินค้างชำระไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท
เมื่อเวลาผ่านไปใกล้ 10 ปี โดยเฉพาะในปีที่ 9 สถาบันการเงินจะต้องฟ้องเป็นคดีล้มละลาย เนื่องจากจะหมดระยะเวลาในการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ลูกหนี้เมื่อได้รับหมายศาล มองว่าไม่มีทางออก จึงถามมาในคอลัมน์นี้จำนวนมาก
ผมขอตอบว่ามีลูกหนี้หลายคนที่ศาลไม่พิพากษาให้ล้มละลาย เพราะมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ล้มละลาย เช่น มีหน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง มีความจริงใจในการชำระหนี้
บางรายเสนอประนอมหนี้มาโดยตลอด ทำมาหากินโดยสุจริต ยังมีโอกาสหาเงินหาทองมาชำระหนี้ได้ ที่ดินที่ธนาคารยึดไว้ยังไม่มีการขายทอดตลาด แต่กลับนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย
หรือลูกหนี้มีหนี้เพียงรายเดียว ไม่มีเจ้าหนี้รายอื่น ก็ไม่เป็นบุคคลที่ล้มละลายได้ เป็นต้น
ลองดูคำพิพากษาข้างล่างนี้ที่ผมได้รวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านนำไปใช้ต่อสู้คดีล้มละลายต่อไป
คำพิพากษาฎีกาที่ 1885/2542
เมื่อโจทก์บังคับคดีแล้ว จำเลยทั้งสองได้ผ่อนชำระเงินให้แก่โจทก์ครั้งละ 1 หมื่นบาทบ้าง ครั้งละ 1.5 หมื่นบาทบ้าง เป็นระยะเวลานานถึง 13 ครั้ง แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ขวนขวายรวบรวมเงินที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ยังมิได้ละเลยที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา แม้จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ แต่การที่จะให้บุคคลใดสมควรเป็นบุคคลล้มละลายนั้น ใช่แต่ฟังว่าลูกหนี้เป็นหนี้แล้วต้องเป็นบุคคลล้มละลายเสมอไป
ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ก็สืบเนื่องมาจากการค้าขายขาดทุน ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองประกอบกิจการ หรือก่อหนี้โดยทุจริต หรือประพฤติเล่นการพนัน จำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นๆ อีก โดยสภาพหากให้จำเลยทั้งสองต้องเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว
นอกจากจำเลยทั้งสองต้องออกจากการทำงาน จำเลยทั้งสองยังต้องขาดสภาพที่จะหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์และยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ครอบครัวทั้งหมดอีกด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งมีที่ทำงานที่แน่นอน มีรายได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ที่จะยังชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองยังมีความสามารถในการรวบรวมเงินชำระหนี้ กรณีจึงเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย 2483 มาตรา 14
คำพิพากษาฎีกาที่ 7566/2545
จำเลยประกอบกิจการรับจ้างทำสื่อโฆษณามาตั้งแต่ปี 2535 และในปัจจุบันยังประกอบการเป็นปกติ แม้ในช่วงระหว่างปี 25402542 ผลประกอบการยังขาดทุนแต่ก็ยังสามารถลดยอดขาดทุนลงได้มากในปี 2542 ส่วนผลประกอบการในปี 2543 ดีขึ้นมาก แม้เอกสารหนังสือเสนอขอชำระหนี้แก่โจทก์ จะมิใช่เอกสารทางบัญชีที่แสดงรายได้และผลกำไรในปี 2543 แต่ก็ยังสามารถนำมาพิจารณาประกอบเพื่อแสดงถึงสถานภาพของจำเลยว่าการประกอบกิจการของจำเลยยังสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยดี
ประกอบกับโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เพียง 1 ปีเศษ และจำเลยเคยยื่นข้อเสนอในการชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนหน้าถูกฟ้องคดีนี้ ซึ่งโจทก์ก็มิได้โต้แย้งว่าจำเลยมิได้ยื่นข้อเสนอในการชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนหน้าถูกฟ้องคดีนี้ ซึ่งโจทก์ก็มิได้โต้แย้งว่า จำเลยมิได้ยื่นข้อเสนอเช่นนั้น แสดงว่าจำเลยมิได้ละเลยในการชำระหนี้แก่โจทก์
ดังนั้น เมื่อไม่มีเจ้าหนี้รายอื่นยื่นฟ้องจำเลยและไม่ปรากฏในการประกอบกิจการและฐานะทางการเงิน มิใช่เป็นเพียงการคาดคะเน ฉะนั้นเมื่อจำเลยยังประกอบกิจการอยู่เป็นปกติ ยังมีรายได้และผลกำไร จึงอยู่ในวิสัยและมีลู่ทางที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ กรณีมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
คำพิพากษาฎีกาที่ 4098/2548
จำเลยที่ 1 กับเพื่อนได้ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์เพื่อใช้เป็นทุนในการเปิดคลินิกทันตแพทย์ ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่ง โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ต่อสู้คดีเพราะเห็นว่าเป็นหนี้โจทก์จริง หลังจากนั้น จำเลยที่ 1 ติดต่อชำระหนี้แก่โจทก์อีกหลายครั้งแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ และเมื่อถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จำเลยที่ 1 ก็ได้ติดต่อกับเจ้าหนี้ของโจทก์อีกเพื่อขอผ่อนชำระหนี้
ปัจจุบันจำเลยที่ 1 ได้ทำงานประจำที่คลินิกทันตกรรม มีรายได้ประมาณไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นบาท กรณีเห็นว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์มาเพื่อลงทุนในการประกอบอาชีพโดยสุจริต แม้ไม่ประสบความสำเร็จก็ยังพยายามติดต่อขวนขวายชำระหนี้แก่โจทก์เรื่อยมา
การกระทำดังกล่าวย่อมแสดงถึงความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบอาชีพทันตแพทย์และมีรายได้ในการประกอบอาชีพแน่นอน ประกอบกับความพยายามโดยสุจริตในการที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ กรณีจึงถือเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย
คำพิพากษาฎีกาที่ 6149/2548
ภริยาจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในหุ้นของบริษัท ม. มูลค่า 47,592,508 บาท ซึ่งเป็นสินสมรส หุ้นจึงมีส่วนที่เป็นของจำเลยอยู่ด้วยกึ่งหนึ่ง มูลค่า 23,796,254 บาท และมีมูลค่าต่ำกว่ายอดหนี้ตามฟ้องอยู่จำนวน 5,817,188 บาท จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะนำส่วนของจำเลยในหุ้นออกขายนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วนได้ จึงถือได้ว่าจำเลยอาจชำระหนี้ได้
ทั้งหมดอันเป็นเหตุมิให้ต้องถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14ก


